"โบ" ธัญญะสุภางค์ คว้าโอกาสใช้ชีวิตต่างแดน

"โบ" ธัญญะสุภางค์ คว้าโอกาสใช้ชีวิตต่างแดน

"โบ" ธัญญะสุภางค์ คว้าโอกาสใช้ชีวิตต่างแดน
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ความน่ารักสดใสที่ฉายแววออกมาของนางเอกสาวในหนังเรื่อง "เค้าเรียกผมว่าความรัก" (my name is love) ที่มาประกบคู่กับพระเอกหนุ่มมาดเซอร์ อย่าง เป้-อารักษ์ หลายคนคงอดสงสัยไม่ได้ว่าเป็นใครกันหนอ เธอคนนี้ โบ-ธัญญะสุภางค์ จิรปรีชานนท์ เรียกได้ว่าเป็นนางเอกใหม่แกะกล่องที่อยู่มาวันหนึ่งมาลองเทสต์หน้ากล้องก็ดันมาเข้าตากรรมการผู้กำกับหนังรักที่เคยตรึงใจใครหลายคน วศิน ปกป้อง แต่สาวใสคนนี้มิได้สะดุดตาด้านการแสดงเพียงอย่างเดียว เพราะเธอเพิ่งจบปริญญาตรี "รัฐศาสตร์ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ" จาก "Ritsumeikan Asia Pacific University" ของญี่ปุ่นมาหมาด ๆ พร้อมดีกรีด้านภาษาถึง 6 ภาษา ไทย,อังกฤษ,ญี่ปุ่น,ฝรั่งเศส,เกาหลี,สเปน ความสามารถเยอะขนาดนี้ อย่ามัวรอช้าทำความรู้จักกับเธอกันเลยดีกว่า

เด็กแว่นหนา

ช่วงวัยเด็กนั้นเรียนอยู่ที่สาธิตเกษตรตั้งแต่ป.1 จนถึงมัธยมศึกษาปีที่ 6บุคลิกลักษณะจะเป็นเด็กที่เนิร์ดมากใส่แว่นหนาเพราะสายตาสั้นตามาก ตาก็จะตีบๆ ฟันเหยิน เป็นเด็กที่ไม่มีความสวยเลยแล้วคุณแม่ยังจับไปเป็นนักกีฬาว่ายน้ำของโรงเรียนเพราะฉะนั้นตัวก็จะดำ ๆ ผอมชะลูด และจะเป็นคนที่เรียนหนังสืออย่างเดียว จนคุณแม่กลัวเพราะว่าจะเป็นเด็กที่ไม่ค่อยออกไปเล่นเหมือนเด็กคนอื่น จะพูดคุยเยอะกับคนที่สนิทเท่านั้น

ก้าวแรกสู่ญี่ปุ่น

สำหรับจังหวะที่ได้ไปศึกษาต่อที่ญี่ปุ่นนั้น เริ่มมาจากช่วงนั้นกำลังเรียนอยู่ที่โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ชั้น ม. 6 แผนการเรียนศิลป์- ฝรั่งเศส พอดีมีโครงการสอบชิงทุนไปศึกษาต่อที่ญี่ปุ่นติดไว้ที่หน้าห้องแนะแนว จึงสนใจลองไปสอบเล่น ๆ ดู เพราะไม่ได้มีความคิดว่าจะไปเรียนต่อต่างประเทศ ซึ่งทุนนี้เป็นทุนจากของที่นั่นให้ประมาณ 98 ประเทศทั่วโลก หลังจากที่สอบผลออกมาปรากฏว่าติดก็รู้สึกดีใจ ตอนนั้นคุณแม่ยังรู้สึกห่วง ๆ อยู่ แต่คุณพ่อบอกว่าเราได้รับโอกาสตรงนี้แล้วอย่าปล่อยไป จึงตัดสินใจไปเรียนต่อที่ "Ritsumeikan Asia Pacific University" ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยนานาชาติอยู่ที่เมืองฟูกูโอกะทางตอนใต้ของประเทศญี่ปุ่น ส่วนคณะที่เลือกเรียนเป็นคณะรัฐศาสตร์ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ที่เลือกคณะนี้ สืบเนื่องมาจากช่วงวัยเด็ก ตั้งแต่ 9 ขวบคุณพ่อทำงานการบินไทย ได้ไปเที่ยวได้มีโอกาสเจอชาวต่างชาติบ่อย ๆ เลยคิดว่าแต่ละประเทศมีเสน่ห์ที่แตกต่างกันออกไปและชอบเรียนภาษากับสังคมด้วยจึงถามคุณแม่ว่าเราชอบสิ่งพวกนี้ทำงานอะไรได้บ้าง คุณแม่จึงให้คำแนะนำบอกว่าเป็นฑูตได้ คิดในใจว่าดูดีเนอะน่าสนุกตั้งแต่ตอนนั้นเลยศึกษาหาข้อมูลด้านนี้มาตลอด

แพ็คกระเป๋าเรียนพร้อมเที่ยว

เรื่องของการเตรียมตัวนั้นโบจบศิลป์-ฝรั่งเศสไม่ได้จบศิลป์-ญี่ปุ่น พอไปถึงที่นั่นเขาก็จะมีบังคับเรียนภาษาญี่ปุ่น 2 ปีแรก คือว่าช่วง 2 ปีแรกนั้นวิชาอื่นเรียนเป็นภาษาอังกฤษ และบังคับเรียนภาษาญี่ปุ่นจนถึงประมาณปี 3 -4 ถึงจะมีโอกาสสามารถเลือกภาษาญี่ปุ่น ก่อนไปไม่ได้เตรียมตัวอะไรเลยไปเตรียมตัวที่นั่น มีความรู้สึกว่าไม่รู้จะเตรียมตัวอย่างไร แต่จะเป็นการเตรียมตัวในแง่ที่ว่าไปเที่ยวมากกว่า (ขำ) ไปหาซื้อหนังสือที่มีสถานที่ท่องเที่ยวเพราะที่นั่นมีสถานที่ท่องเที่ยวหลายแห่งมีดิสนีย์แลนด์ด้วยเราเลยรู้สึกตื่นเต้นมาก ส่วนเรื่องของวิชาการ เป็นการดูคร่าว ๆ เอาไว้บ้างเท่านั้น แต่ว่าส่วนใหญ่จะไปดูที่นั่นคือโบยังไม่รู้ว่าโบจะได้เรียนวิชาอะไรต้องลงเรียนวิชาไหนแต่ก็มีเตรียมตัวเกี่ยวกับการเรียนภาษาญี่ปุ่นไป แต่ก็พอทราบมาว่าที่นั่นเขาจะสอนให้เราตั้งแต่ต้นด้วยเหมือนกันและศึกษาหาข้อมูลก่อนไปในเรื่องของภูมิประเทศและวัฒนธรรมของที่นั่นด้วย ดูคร่าว ๆ

ปรับตัวจัดการตัวเอง

สำหรับการปรับตัวขึ้นชื่อว่าได้ไปอยู่ประเทศในเรื่องของการตรงต่อเวลาแล้ว เราต้องปรับตัวจัดการบริหารตารางเวลาเราให้ได้ อย่างที่เมืองไทย คือเราพุ่งเป้าไปที่เรื่องเรียนอย่างเดียวไม่ต้องทำอะไร เพราะคุณแม่จะทำให้ เวลาเรียนหนังสือคุณแม่ก็ไปรับ-ไปส่ง อ่านหนังสือดึกตื่นมาช่วงเช้าคุณแม่ก็ทำอาหารไว้ให้ แต่ที่นั่นเราต้องทำเองหมดทุกอย่าง เราจะตื่นสายไม่ได้ต้องเดินทางเองขึ้นรถเองซึ่งเราจะมีตารางเวลาของเราไว้ด้วย นอกจากนั้นแล้ว เรื่องของค่าใช้จ่ายที่คุณแม่ส่งมาให้เราก็ต้องรู้จักบริหารให้ลงตัว เพราะอยู่อพาร์ตเม้นท์ต้องจัดการกับค่าใช้จ่ายทุกอย่างอาทิ ค่าเช่า ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าโทรศัพท์ จ่ายตลาด ในเดือนแรกเราคิดว่าใช้จ่ายเท่านี้ แต่พอเดือนที่ 2 เราเกิดป่วยขึ้นมาเราไม่ได้มีค่าใช้จ่ายตรงนี้เก็บไว้ เลยทำให้จุดนี้บีบเราให้โตเป็นผู้ใหญ่มากขึ้นคือรู้จักที่จะคิดหลายๆ อย่างเผื่อให้กว้างขึ้น

เรียนไม่ง่าย

การเรียนที่นั่นหนักมากเขาจะไม่เหมือนที่เมืองไทยจะไม่มีวิชาบังคับจะเลือกวิชาไหนลงเรียนก่อนก็ได้ มันฟังดูง่าย ๆ แต่ถ้าเป็นอีกมุมหนึ่งเราต้องวางแผนมากขึ้น และอย่างในช่วงแรก ๆ จะรู้สึกว่าเวลาเขียนรายงานที่เมืองไทยเราจะชินกับการเขียนก็อปมาทั้งหมด แต่สำหรับที่นั่นเราเขียนเหมือนหนังสือเกิน 6 คำเราจะโดนฟ้องร้อง เราต้องทำเป็นตัวเอียงอ้างอิงชัดเจนหลังประโยค เพราะฉะนั้นการเขียนรายงานเล่มหนึ่งจะต้องค้นคว้าเองประมาณ 20-30 เล่มจะทำให้เรารู้จริงอ่านทั้งหมดแล้วนำมาประมวลวิเคราะห์ด้วยตัวเอง และไม่เคยเจอสภาพที่ต้องเรียนทุกอย่างเป็นภาษาอังกฤษมาก่อนคือชอบเรียนภาษานะ แต่ไม่เคยเรียนทุกวิชาเป็นภาษาอังกฤษ ส่วนภาษาญี่ปุ่นประมาณเกือบ 1 ปีก็สามารถพูดได้คล่องขึ้นอาจจะด้วยเรื่องของการอยู่ที่นั่นเรื่องของสื่อสารในชีวิตประจำวันต้องใช้ภาษาญี่ปุ่นเลยทำให้บีบเราพูดได้ไวขึ้น

ภาษาพาสนุก

ส่วนเรื่องของภาษานั้นนอกจากภาษาไทยแล้วสามารถพูดได้อีก 5 ภาษา พอโบพูดอังกฤษได้แล้วก็เลือกเรียนภาษาฝรั่งเศสเพราะว่าคุณแม่พูดได้ฟังท่านพูดบ่อยๆ แล้วก็ภาษาญี่ปุ่นเพราะว่าไปเรียนที่ญี่ปุ่นและตอนเรียนมีเพื่อนเป็นชาวต่างชาติมีเพื่อนเป็นเกาหลีเยอะเลยทำให้สามารถพูดภาษาเกาหลีได้อีกหนึ่งภาษา อย่างที่บอกไว้ในข้างต้นว่าเป็นคนที่ชอบเรียนภาษาช่วงเทอมสุดท้ายจึงลงเรียนภาษาสเปนเพิ่ม ทุกครั้งที่เรียนภาษาเรารู้สึกว่ามีความสุข และมันสามารถนำมาใช้กับสิ่งที่เราอยากจะทำได้ ปริญญาที่แสนคุ้ม

จากวันแรกที่ไปเรียนจนถึงตอนนี้ที่จบแล้ว

มีความรู้สึกว่าตัวเองโตขึ้นเยอะมาก จะมองโลกกว้างขึ้นเข้าใจชีวิต รู้จักตัวเองมากขึ้น ทำให้คุณพ่อคุณแม่ไว้ใจมากขึ้นเราเองไว้ใจตัวเองมากขึ้นและรู้จักลิมิตของตัวเอง ตอนช่วงรับปริญญาเพิ่งรับไปเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมารู้สึกดีใจมาก แต่ที่นั่นจะรับกันแบบเรียบง่ายแต่งหน้าทำผมกันเองและชุดครุยนั้นใครจะใส่ก็ได้หรือว่าจะเลือกใส่เป็นใส่กิมโมโนก็ได้

แคสติ้งผ่านเป็นนางเอก

สำหรับหนังเรื่องเค้าเรียกผมว่าความรักนั้น ที่ได้มาเล่นเรื่องนี้เพราะว่า ตอนนั้นโบเพิ่งกลับมาจากญี่ปุ่น ทีแรกคิดว่าจะหางานทำที่ญี่ปุ่น แต่พอดีว่าแผ่นดินไหวคุณแม่เลยให้กลับบ้าน เป็นช่วงที่รอรับปริญญา บังเอิญเจอพี่ที่แคสติ้งให้มาลองเลยตัดสินใจมาและเผอิญว่าแคสผ่านก็ตะลึงว่าผ่านมาได้อย่างไร แต่การร่วมงานกับพี่ทุกคนก็แฮปปี้ดีค่ะ ส่วนงานด้านการทูตถ้ามีโอกาสก็อยากจะทำ เพราะโบรู้สึกว่าคนเราเกิดมามีโอกาสเกิดมาแค่ครั้งเดียว ก็อยากจะลองทำอะไรหลายๆ อย่าง ถ้าเราไม่ลองก็จะไม่รู้ว่าชอบอะไร เคยมีคนบอกโบไว้ว่า คนเราเกิดมาครั้งเดียวเราใช้โอกาสครั้งเดียวให้คุ้มค่าครั้งเดียวมันก็เกินพอ ทุกคนเกิดมามีจุดมุ่งหมาย มีโอกาสก็อยากลองทำทุกอย่างค่ะ

ท้ายสุดฝากถึงคนที่ไปเรียนต่อหรือกำลังจะไปก็อย่างเพิ่งท้อหรือว่ายอมแพ้อาจจะหนักหน่อยแต่สิ่งที่ได้มาคือความภูมิใจของเราและครอบครัว มีอะไรอยากให้มองโลกในแง่ดีมีคุณพ่อคุณแม่ให้คำปรึกษาอย่าคิดว่าอยู่ตัวคนเดียว วันนี้ที่คือวันที่เราพิสูจน์ตัวเองว่าสามารถทำได้สมกับที่คุณพ่อคุณแม่ไว้ใจค่ะ

ที่มา "การศึกษาวันนี้"
ผู้เขียน : pako
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก :
facebook.com/ThunyasupanBo

อัลบั้มภาพ 14 ภาพ

อัลบั้มภาพ 14 ภาพ ของ "โบ" ธัญญะสุภางค์ คว้าโอกาสใช้ชีวิตต่างแดน

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook