งานฟุตบอลประเพณีธรรมศาสตร์-จุฬาฯ ครั้งที่ 69

งานฟุตบอลประเพณีธรรมศาสตร์-จุฬาฯ ครั้งที่ 69

งานฟุตบอลประเพณีธรรมศาสตร์-จุฬาฯ ครั้งที่ 69
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ผ่านพ้นไปแล้ว สำหรับงานฟุตบอลประเพณีธรรมศาสตร์-จุฬาฯ ครั้งที่ 69 โดยปีนี้จัดภายใต้แนวคิดหลัก "มองมุมกลับ ปรับมุมมอง" ซึ่งที่มาคือ เลข 69 จากครั้งที่ 69 เนื่องจากเลข 6 เมื่อกลับหัวแล้ว มันสามารถมองเป็นเลข 9 ได้ ทำให้นึกถึงคำว่า มองมุมกลับขึ้นมา ฟุตบอลประเพณีจุฬาฯ-ธรรมศาตร์เป็นงานที่อยู่คู่สถาบันการศึกษาทั้งสองและสังคมไทยมาช้านาน ถือเป็นงานที่เปี่ยมด้วยคุณค่า และประโยชน์นานาประการ ในแง่ของนิสิตนักศึกษาของแต่ละมหาวิทยาลัยมาทำงานกับผองเพื่อนใน มหาวิทยาลัยของตนเอง โดยต้องทำงานกันอย่างเป็นระบบ มีการวางแผน และการนำทักษะและความรู้ที่นิสิตนักศึกษาได้ร่ำเรียนมาประยุกต์ใช้ จริง ดังนั้นนิสิตนักศึกษาจึงได้เพิ่มพูนศักยภาพของตนเองผ่านการวางแผนและ ปฏิบัติงานในงานฟุตบอลประเพณีฯ

กิจกรรมดีๆ ของนิสิตจุฬาฯและนักศึกษาธรรมศาสตร์ ปีนี้สีสันของงานก็คงหนีไม่พ้นเหล่าเชียร์ลีดเดอร์หนุ่มหล่อ-สาวสวย ที่เห็นแล้วก็บอกว่า น่ารัก สดใส สมวัยจริงๆ ขบวนล้อการเมือง ก็ใช่ย่อย มาแบบแรงๆ จัดเต็ม เสียดสี ได้มันส์หยดเลยทีเดียว งานดีๆสร้างสรรค์แบบนี้ทีมงาน Sanook! Campus ไม่พลาด เราได้เก็บบรรยากาศมาฝากกันแล้วครับ.....

<<<<<<<<< ขบวนพาเรด ล้อการเมือง ดรัมเมเยอร์ สีสันกองเชียร์มากมาย >>>>>>>>

(คลิกเพื่อชมภาพอีกมากมาย)

<<<<<<<<< ภาพน้องๆ เชียร์ลีดเดอร์จุฬาฯ >>>>>>>>

(คลิกเพื่อชมภาพอีกมากมาย)


<<<<<<<<< ภาพเชียร์ลีดเดอร์ธรรมศาสตร์ >>>>>>>>

(คลิกเพื่อชมภาพอีกมากมาย)

สำหรับผลการแข่งขันฟุตบอลประเพณีธรรมศาสตร์-จุฬาฯ ครั้งที่ 69 จุฬาชนะมธ. 1:0 คว้าแชมป์ งานบอล'69 ครองแชมป์ 3 สมัยได้อย่างสำเร็จ (งานบอล'67 จุฬาฯชนะ ธรรมศาสตร์ 3:1 / งานบอล'68 จุฬาฯ ชนะธรรมศาสตร์ 1:0)

กำเนิดฟุตบอลประเพณี

ฟุตบอลประเพณีจุฬาฯ-ธรรมศาสตร์ ก่อกำเนิดครั้งแรกเมื่อพ.ศ. 2477 โดย แนวความคิดของนิสิตนักศึกษาทั้งสองสถาบันกลุ่มหนึ่ง ซึ่งเคยเรียนอยู่ในโรงเรียนเดียวกัน ได้หารือกันว่าควรจะมีการแข่งขันฟุตบอลระหว่างสถาบันเพื่อเสริมสร้างความ สามัคคีระหว่าง นิสิตนักศึกษาทั้งสองสถาบันและควรจัดให้มีขึ้นเป็นประจำทุกปี ผู้ริเริ่มฝ่ายธรรมศาสตร์มีพล.ต.ท.ต่อศักดิ์ ยมนาค บุศย์ สิมะเสถียร และฝ่ายจุฬาฯ มี ประสงค์ ชัยพรรค,ประถม ชาญสันต์ และประยุทธ สวัสดิ์สิงห์ การแข่งขันครั้งแรกนั้นทางฝ่ายธรรมศาสตร์คือ ดร.เดือน บุนนาค เลขาธิการมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และการเมืองสมัยนั้นรับจัดการแข่งขัน และได้ถือเป็นประเพณีปฏิบัติสืบเนื่อง มาจนถึงปัจจุบัน

การแข่งขันทุกปีนั้น ถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติว่า รายได้ที่เหลือจากการหักค่าใช้จ่ายแล้ว จะมีการมอบการกุศลทุกครั้งโดย ในครั้งแรกซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2477 ณ สนามหลวง ท้องทุ่งพระสุเมรุ มีการเก็บเงินค่าผ่านประตูบำรุงสมาคมปราบวัณโรค ซึ่งถือว่าเป็นโรคที่ร้ายแรงที่สุดของไทยขณะนั้น หลังจากนั้นก็มีการเก็บเงินบำรุงการกุศลเรื่อยมา เช่น ในช่วงแรก ๆ มีการเก็บ เงินบำรุงทหาร สมทบทุนสร้างเรือนพักคนไข้วัณโรคช่วยเหลือผู้ประสบอัคคีภัยบำรุงสภากาชาด บำรุงมูลนิธิอนุเคราะห์คนหูหนวก สมทบทุนอานันทมหิดล สร้างโรงเรียนชาวเขา ฯลฯ

นอกจากนี้ก็ยังมีการเก็บเงินเพื่อบำรุงการศึกษาของทั้งสองสถาบัน และตั้งแต่การแข่งขันครั้งที่ 34 (พ.ศ. 2521) จนถึงปัจจุบัน คณะกรรมการจัดการแข่งขันได้นำเงินรายได้ขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายโดยเสด็จพระราชกุศลตามพระราชอัธยาศัย ด้านสถานที่ที่ใช้ในการแข่งขัน มีครั้งแรกเพียงครั้งเดียวที่ใช้ท้องสนามหลวงเป็นที่แข่งขัน ครั้งที่ 2, 3, 4 ได้ย้ายไปจัดที่สนามฟุตบอลโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย และนับตั้งแต่ครั้งที่ 5 เป็นต้นมาได้ย้ายมาจัดที่ สนามศุภชลาศัย กรีฑาสถานแห่งชาติจนถึงปัจจุบัน (ยกเว้นครั้งที่ 41 และ 44 จัดที่สนามกีฬาจุฬาลงกรณ์) แม้ว่าจะถือเป็นประเพณีว่าการจัดการแข่งขันจะจัดเป็นประจำทุกปี

แต่ในบางปีสถานการณ์บ้านเมืองไม่เหมาะสม ไม่เอื้ออำนวยต่อการจัดงาน จึงได้มีการงดเว้นในหลาย ๆ ช่วงคือ ในปี พ.ศ. 2485 เนื่องจากเกิดน้ำท่วมใหญ่กรุงเทพฯพ.ศ. 2487-2491 ไม่มีการแข่งขัน เนื่องจากอยู่ในระหว่างสงคราม พ.ศ. 2494 มีเหตุขัดข้องบางประการ พ.ศ. 2516-2518 และ พ.ศ. 2520 ไม่มีการแข่งขัน เนื่องจากสถานการณ์บ้านเมืองไม่อำนวย

อนึ่ง นับตั้งแต่การแข่งขันครั้งที่ 10 วันที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2492 เป็นต้นมา เสียงเพลงพระราชทาน "มหาจุฬาลงกรณ์" และ "ยูงทอง" ได้ก้องกังวานขึ้นเป็นครั้งแรกที่มี การชิงถ้วยพระราชทานของสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีในรัชกาลที่ 7 ซึ่งพระองค์ได้เสด็จมาทรงเป็นประธาน และตั้งแต่ครั้งที่ 12 วันที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2495 จนถึงปัจจุบัน มีการแข่งขันเพื่อชิงถ้วยพระราชทานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จึงนับเป็นเรื่องที่น่าภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่งของนิสิต-นักศึกษาทั้ง 2 สถาบัน ในการที่จะรักษาประเพณีอันดี ความสามัคคีของทั้ง 2 สถาบันให้แน่นแฟ้นสืบไป

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook