โอบามา ประกาศวาระแห่งชาติ "ลงทุนในเด็กปฐมวัย" (1)
คอลัมน์ Education Alert
โดย ดร.ไกรยส ภัทราวาท ผู้เช่ยวชาญนโยบาย ด้านเศรษฐศาสตร์การศึกษา (สสค.)
เมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ประธานาธิบดี บารัก โอบามา (Barack Obama) ได้แถลงนโยบายแก่รัฐสภาสหรัฐอเมริกา (State of the Union : SOU) เป็นครั้งแรก หลังจากได้รับเลือกตั้งกลับเข้ามาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีอีกครั้ง ซึ่งจะเป็นวาระสุดท้ายของเขา
SOU ครั้งนี้จึงเป็นเหมือนการแถลงพิมพ์เขียว (Blueprint) นโยบายสำคัญที่ประธานาธิบดีโอบามา ตั้งใจจะทำให้สำเร็จภายใน 4 ปีข้างหน้านี้ โดยหนึ่งในนโยบายที่ได้รับความสนใจและการสนับสนุนจากรัฐสภาผ่านธรรมเนียมการยืนปรบมือของสมาชิกรัฐสภาทุกท่านอย่างยาวนาน (Standing Ovation) คือ การประกาศนโยบายด้านการศึกษา 3 ประเด็น ได้แก่
1.นโยบายให้การศึกษาก่อนวัยเรียนแก่เด็กปฐมวัยทุกคนทั่วประเทศ
(Nationwide Early Childhood Pre-school Program) 2.นโยบายส่งเสริมโครงการความร่วมมือแบบ "ไตรภาคี" ระหว่างสถานศึกษา มหาวิทยาลัย และผู้ประกอบการเอกชนในการจัดการศึกษาเพื่อการมีงานทำให้แก่เด็กมัธยมศึกษาตอนปลาย และ 3.นโยบายส่งเสริมความรับผิดชอบของสถาบันอุดมศึกษา และการควบคุมต้นทุนค่าเทอมที่สูงขึ้นของผู้ปกครองที่ส่งบุตรหลานเข้าเรียนในระดับอุดมศึกษานโยบายที่ได้รับการสนับสนุนอย่างมากจากทั้งนักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบล
ปี 2543 Prof.James Heckman และนักการศึกษาชื่อดังอย่าง Prof.Timothy Knowles แห่งมหาวิทยาลัย Chicago คือ นโยบายการให้การศึกษาก่อนประถมศึกษาแก่เด็กปฐมวัยทุกคน โดยเป็นการร่วมจ่ายระหว่างรัฐบาลกลางและรัฐบาลของแต่ละรัฐทั้ง 50 รัฐทั่วประเทศ โดยให้สิทธิแต่เฉพาะเด็กที่มีพื้นฐานครอบครัวที่ยากจนเป็นหลัก
ประธานาธิบดีโอบามาได้ยกเอาผลการวิจัยกว่าหลายทศวรรษที่สอดคล้องตรงกันว่า การลงทุนในเด็กปฐมวัยนั้นเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าอย่างมากทั้งต่ออนาคตของเด็กเอง และต่อสังคมเศรษฐกิจของประเทศอีกด้วย โดยอัตราผลตอบแทนจากการลงทุนในเด็กปฐมวัย 1 ดอลลาร์ในวันนี้ ประเทศจะได้ผลตอบแทนคืนกลับมาสูงถึง 7 เท่าในอนาคต
ทั้งในรูปของการเพิ่มโอกาสการเรียนจบการศึกษาขั้นพื้นฐานของเด็ก การลดโอกาสการตั้งครรภ์ในวัยเรียน และการลดอัตราการก่ออาชญากรรมในอนาคต ซึ่งล้วนแต่เป็นค่าใช้จ่ายที่รัฐต้องใช้เงินในการบำบัดรักษาและแก้ไขปัญหาที่สูงกว่าต้นทุนในการสร้างระบบป้องกันเด็กตั้งแต่ระดับปฐมวัย (Early intervention)
นอกจากนั้น Prof.Knowles ยังได้กล่าวย้ำถึงเด็กในช่วงอายุ 0-5 ปีว่า เป็นช่วงที่สมองกว่า 90% กำลังเจริญเติบโต หากรัฐไม่ลงทุนในการพัฒนาเด็กในช่วงเวลานี้แล้ว รัฐจะหมดโอกาสในการพัฒนาขีดความสามารถทางสติปัญญาและการวางรากฐานทั้งทางด้านพฤติกรรม อารมณ์ และสังคมของเด็กไปตลอดชีวิต โดยงานวิจัยที่ติดตามพัฒนาการของเด็กตั้งแต่ปฐมวัยจนถึงวัยแรงงานหลายพันคน
ทั่วสหรัฐอเมริกาพบว่า สิ่งเหล่านี้ล้วนสร้างความแตกต่างในโอกาสการเรียนจบการศึกษาขั้นพื้นฐานและมหาวิทยาลัย โอกาสในการสร้างปัญหาให้แก่สังคม และโอกาสในการสร้างรายได้ที่สูงกว่าสถานะทางเศรษฐกิจของครอบครัวเดิมอีกด้วย
ตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมซึ่งประธานาธิบดีโอบามายกขึ้นเป็นโมเดลการพัฒนาเด็กตั้งแต่ระดับปฐมวัยเพื่อพัฒนาชุมชน คือ Harlem Children"s Zone (HCZ) ในมหานครนิวยอร์ก ที่ชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของการดูแลเด็กตั้งแต่ระดับปฐมวัย
ที่จะเป็นรากฐานสำคัญในการพัฒนาคุณภาพเด็กและประชาชนในย่านฮาร์เล็มให้มีคุณภาพและห่างไกลจากปัญหาต่าง ๆ โดยเฉพาะความยากจน แต่การดูแลเด็กของฮาร์เล็มในระดับปฐมวัยเป็นเพียงจุดเริ่มต้นในการดูแลเด็กทั้งระบบไปจนเข้าสู่มหาวิทยาลัยหรือการมีงานทำ
การดูแลเด็กปฐมวัยไม่ใช่เพียงการให้การศึกษาแก่เด็กเท่านั้น แต่เป็นการให้การศึกษาแก่พ่อแม่และผู้ปกครองในการดูแลเด็กอีกด้วย โดย HCZ ได้มีการคัดสรรโปรแกรมคุณภาพที่ผ่านกระบวนการวิจัยว่าสอดคล้องกับพัฒนาการของเด็กแต่ละช่วงวัย อาทิ โปรแกรม The Baby College ที่อบรมพ่อแม่ที่มีลูกอายุ 0-3 ปี ด้วยเนื้อหาเกี่ยวกับพัฒนาการและการดูแลเด็กในด้านต่าง ๆ เพื่อสนับสนุนให้เกิดครอบครัวคุณภาพที่มีความสุขและสุขภาพแข็งแรง โปรแกรม Get Ready For Pre-K ที่เตรียมความพร้อมเด็กก่อนเข้าสู่รั้วโรงเรียน เป็นต้น ซึ่งกระบวนการในการดูแลเด็กทั้งระบบตั้งแต่ปฐมวัยเหล่านี้ ฮาร์เล็มได้มองถึงการสร้างระบบป้องกันเด็กในพื้นที่ ควบคู่กับการดำเนินการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในย่านฮาร์เล็ม
นี่เป็นตัวอย่างของการให้ความสำคัญกับเด็กปฐมวัยในประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกา ในตอนหน้าจะพูดถึงประเทศอื่น ๆ ว่าเขาทำกันอย่างไร