คิดอย่าง ′แฮปปี้′ แบบ "เจมส์ จิรายุ"

คิดอย่าง ′แฮปปี้′ แบบ "เจมส์ จิรายุ"

คิดอย่าง ′แฮปปี้′ แบบ "เจมส์ จิรายุ"
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

"คุณชายหมอพุฒิภัทร" ใน "สุภาพบุรุษจุฑาเทพ" นั้น มาดนิ่ง ขรึม เรียบร้อย และอาจจะปากร้ายนิดหน่อย

"ผมน่ะไม่ได้เรียบร้อยแบบนั้นอยู่แล้วครับ" เจมส์-จิรายุ ตั้งศรีสุข ประกาศชัดตั้งแต่พบกัน

ก่อนขยายความถึงตัวตนของเขาว่า ออกแนว "ซน ขี้เล่น สนุกสนาน ร่าเริง เพ้อๆ ฝันๆ" แถมยังชอบสีชมพูเป็นชีวิตจิตใจ

เรียกได้ว่าแค่ได้เห็นอะไรที่เห็นสีชมพู ก็มีความสุขได้ไม่ยาก

หากกระนั้น แม้ต้องสวมบทบาทที่ต่างจากชีวิตจริงมาก ก็ได้รับคำชมมากมายว่าทำได้ดี

"จริงๆ ก็ตื่นเต้นครับ กังวลว่าคนจะชอบไหม เลยเครียดนิดหน่อย" เจมส์ซึ่งเคยแสดงมาแล้วบ้างนิดหน่อย ในผลงานภาพยนตร์ "Where is Love อยู่ที่ไหนนะ?ความรัก" ที่ยังไม่ออกฉาย เผยความรู้สึกก่อน "คุณชายพุฒิภัทร" จะออกอากาศ

"คิดแค่อยากให้โปรดักชั่นของเขาไม่โดนว่า และทุกคนสนุกกับมัน" คือความหวังที่เขาฝันไว้

หากตอนนี้ผลที่ได้คงจะเกินความหวัง เพราะแค่ไม่กี่ตอนที่แพร่ภาพ เด็กหนุ่มวัย 19 จาก จ.พิจิตร คนนี้ก็เข้าไปอยู่ในใจของหลายคนได้อย่างง่ายดาย

โดยหลายคนว่าแค่เห็นหน้าหล่อใส กับรอยยิ้มสวยของเขา ใจก็ละลายไปเรียบร้อย

เจมส์เล่าด้วยว่าแต่ไหนแต่ไรมา เขาไม่เคยคิดสักนิดว่าตัวเองจะมาเป็นดารา เพราะสิ่งที่คนชอบตัวเลขอย่างเขาอยากเป็นจริงๆ คือ นักธุรกิจที่อยากมีกิจการอะไรสักอย่างของตัวเอง ดังนั้น จึงเลือกเรียนคณะบริหารธุรกิจ ที่ ม.รังสิต เพื่อคิดจะนำไปใช้ในอนาคต

"แต่แม่ผมเขาดูทีวีทุกวัน แม่อยากให้เป็นดารามากกกกก" เจมส์ลากเสียงยาว ก่อนหัวเราะขำ

แล้วเมาธ์มารดาต่อว่า ด้วยความที่อยากมากนั่นละ แม่จึงแอบส่งชื่อเขาไปเข้าประกวด The Idol Friday 2011 โดยเจ้าตัวไม่รับรู้ กระทั่งผ่านเข้ารอบ เลยไปประกวดเพราะอยากตามใจ และก็ได้รางวัลชนะเลิศมา

แต่ชีวิตก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลง

กระทั่งเดือนเมษายนปีก่อน ที่ ปิ๊ก-ฌาณฉลาด ทวีทรัพย์ ผู้จัดการส่วนตัวคนปัจจุบัน เห็นรูปเขาผ่านเฟซบุ๊กและบุกไปชวนถึงบ้านให้มาแคสต์งานนั่นล่ะ

มานึกๆ ในตอนนี้แล้ว เขาว่าสิ่งที่เกิดขึ้น "เหมือนกับเป็นโชคชะตาที่พาจังหวะชีวิตไปเรื่อยๆ"

"และผมว่าจังหวะชีวิตช่วงนี้เป็นช่วงที่ดีที่สุดเลยนะ"

"อายุผมแค่นี้ แต่ได้มาเห็นอะไรๆ ในมุมมองที่คนอื่นเขาไม่เห็น"

"ซึ่งผมแฮปปี้"

ตอนนี้เลยขอพักความฝันเรื่องนักธุรกิจไว้ เพื่อมาเป็นนักแสดง

"มันสนุกครับ" เจมส์บอกความรู้สึกด้วยรอยยิ้มสวย และดวงตาเป็นประกาย

"ในชีวิตเราไม่เคยได้เจออะไรแบบนี้ พอมาอยู่วงการ ได้เห็นอะไรที่กว้างกว่า ไกลกว่า ซึ่งน่าจะเป็นจุดเริ่มต้นชีวิตที่ดีของผม"

ดังนั้น แม้จะรู้แก่ใจว่าต่อไปนี้จะต้องเจอเรื่องหนัก ด้วยต้องรับควบทั้งเรื่องงาน และเรื่องเรียนก็ไม่หวั่น

"การเป็นดารามันมีข้อดีอยู่อย่าง คือได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ ตลอดเวลา"

นั่นคือ ถ้าละครมีบทต้องยิงปืน ก็ต้องไปเรียนยิงปืน มีบทขี่ม้าก็ต้องไปเรียนขี่ม้า

"การที่ได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ ทำให้ไม่รู้สึกเหนื่อย แต่สนุก"

ซึ่งน่าจะเหมาะกับคนสมาธิสั้นและขี้เบื่ออย่างเขา-นี่เจมส์ว่า

"ผมอยู่กับอะไรจำเจนานๆ ไม่ได้ มันจะเบื่อ แล้วทิ้ง"

"แต่ถ้าหยุดไปทำอะไรอย่างอื่น แล้วกลับมาทำต่อมันจะค่อยๆ พัฒนาไปเรื่อยๆ"

งานการแสดงที่เป็นอยู่จึงน่าจะเหมาะกับเขา-นี่เจมส์ก็คาด

อย่างไรก็ตาม หากเกิดมีสิ่งที่ทำไม่ได้สักทีก็ไม่เป็นไร

"ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆ มันก็คงเซ็งตัวเองนะ"

"คือไม่ได้กลัวว่าคนจะด่าอยู่แล้ว เพราะผมเป็นคนที่หน้าด้านมาก" เจมส์พูดแบบหน้าตาย ก่อนจะหัวเราะเสียงดัง

จากนั้นจึงบอกความคิดจริงๆว่า "อะไรที่ด่ามาผมก็รับหมด เพราะมันเหมือนเป็นคำสอน ที่เราต้องรับ" จะได้นำมาปรับปรุง


ปรับปรุงการทำงาน งานที่คิดอยู่เสมอว่า ต้องทำให้ดีที่สุด

"ทำเหมือนกับว่านี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่ได้ทำสิ่งนี้แล้ว"

"ผมคิดอย่างนี้ตลอด" เจมส์บอกด้วยความมุ่งมั่น

"ทุกครั้งเลยพยายามทำทุกสิ่งให้ดีที่สุด"

ฟังแล้วดูเหมือนนอกจากคุณสมบัติของการซน ขี้เล่น สนุกสนาน ร่าเริง และเพ้อๆ ฝันๆ แล้ว เขายังน่าจะเป็นคนช่างคิด

พอทัก เขาก็พยักหน้าหน่อยๆ

จากนั้นออกตัวว่า "แต่ไม่ได้ยึดติดนะครับ"

"อย่างเวลาเศร้า ผมไม่เคยเศร้านานเกินวันเลยนะ คือพอหลับแล้วตื่นมาปุ๊บ มันเหมือนกับได้รีเซตตัวเองว่ามันผ่านไปแล้ว ให้มันผ่านไป"

"ไม่เชิงว่าไม่คิดมาก คือก็คิดอยู่ หากไม่ยึดติด แต่ผมจะเอาสิ่งที่ผ่านมาเป็นบทเรียน ที่เราต้องผ่านไป"

"คือเก็บมันมาใส่ใจ แต่ไม่ได้เอาความรู้สึกลงไปตรงนั้น มันเครียดเนอะ คนที่เอาทุกอย่างมาใส่สมองอยู่ตลอด"

"แบบนั้นมันไม่แฮปปี้"

เขายังเล่าแผนชีวิตที่คิดไว้ตอนนี้ว่า จะรับงานละครเป็นหลัก ส่วนงานอีเวนต์คงไม่รับมากนัก

"ผมคิดว่าถ้าเราทุ่มเทกับงานละครจริงๆ มันจะดีกว่าที่เราไปเร่งๆ ออกงานรับเงินตอนนี้ เพราะผมอายุ 19 เอง ก็ไม่ได้จะใช้เงินมากขนาดนั้น แค่ทำงานในสิ่งที่ทำอยู่ให้ดีที่สุดก่อน แล้วพอโตขึ้นอยากทำงานที่ได้เม็ดเงินใหญ่ขึ้น ค่อยว่ากันอีกที"

"ผมเองคงอยู่ตรงนี้อีกนานเลยครับ เพราะว่าติดใจ ใน 5 ปี 10 ปี ก็ยังอยู่อย่างนี้ล่ะ เป็นนักแสดงที่ให้ทุกคนเชื่อว่าเล่นเป็นตัวละครนั้นจริงๆ"

"เพราะมันคืองานของเรา"

ผู้หญิงของเจมส์

พอถามว่าตอนนี้เริ่มดังแล้ว มีสาวเข้ามาหาบ้างรึยัง เจมส์ถึงกับถอนหายใจยาว ก่อนบอกอย่าว่าแต่ "ตอนนี้" เลย ตอนไหนๆ เขาก็ไม่มีใคร เพราะที่ผ่านมามีแต่เพื่อนๆ เขาเท่านั้นแหละที่มีสาวเข้าหา

ส่วน "ผมเองหน้าตาก็ไม่ได้แย่ แต่ไม่เข้าใจว่าทำไมไม่มีมา" เขาบอก พร้อมหัวเราะเสียงดัง

แต่หากจะพากันเปลี่ยนมาตอนนี้ ขอโทษที ไม่ได้แล้ว เพราะตั้งใจจะทำงานเป็นหลัก

"รู้สึกว่าให้เวลากับตัวเองไม่พอ ทำงานอย่างนี้มีเรื่องต้องคิดเยอะ รับผิดชอบเยอะ ถ้าต้องไปดูแลคนอื่น แล้วไม่มีเวลาให้ก็ทะเลาะกันอยู่ดี เลยยังไม่มีดีกว่า"

แต่ถึงเวลาถ้าจะมี เขาบอกจะดูที่ "ความคิด"

"คุยกันรู้เรื่อง ปรึกษากันได้ และให้กำลังใจกันทุกเรื่อง"

ส่วนหน้าตา "ไม่ได้ฟิกซ์ว่าจะเป็นยังไง"

อีกทั้ง "ชอบคนอายุเยอะกว่าหน่อยจะได้คุยกันรู้เรื่อง"

โห,ให้กำลังใจคนแก่(กว่า)กันเห็นๆ

ป้าแจ๋วประกอบอีกอัน

"คุณชายเพ้อ" ในสายตา "แม่แจ๋ว"

ยุทธนา ลอพันธุ์ไพบูลย์ ผู้กำกับซึ่งเป็น "ป้าแจ๋ว" ของใครๆ แต่เป็น "แม่แจ๋ว" ของเจมส์ จิรายุ บอกว่า เด็กหนุ่มคนนี้น่ารัก ไม่ขี้เก๊ก สนุกสนาน เฮฮา

"เขากล้าหาญชาญชัยกว่าณเดชน์ (คูกิมิยะ)"

ด้วยณเดชน์นั้นแม้จะคุ้น จากการทำงานร่วมกันมาหลายเรื่อง แต่ทุกวันนี้ดูเหมือนจะยังเกรงๆ ขณะที่เจมส์ เพิ่งเจอกันแท้ๆ แต่ก็ "ไม่กลัวเรา" แล้ว ป้าแจ๋วบอกขำๆ

ไม่กลัวถึงบางวันอยู่ดีๆ ก็มาตีก้นเขาซะงั้น

ขณะที่บางวันมากอด

"ชอบอำ ชอบเล่นมุข"

"แต่แป้ก" ป้าว่า

"แต่เขาหน้าด้าน เล่าแล้ว เอ้า, ไม่ขำเหรอ แม่รู้มุขแล้วเหรอ"

แล้วอีกเดี๋ยวก็สรรหามุขแป้กมาเล่าใหม่

"แล้วเขาแพ้อากาศร้อน เวลาร้อนมากๆ ตัวจะแดง ผื่นขึ้น ต้องให้กินยาแก้แพ้ และพกแป้งเย็น"

ภาพที่เห็นประจำยามร้อนในกอง คือป้าแจ๋วจะสั่งให้เจมส์ถอดเสื้อ แล้วทีมงานก็จะพากันมารุมทางแป้งให้

"เขายังเป็นคนช่างพูด"

พูดเสียจนคนในกองพร้อมใจตั้งสมญาว่า "คุณชายเพ้อ"

ซึ่งป้าแจ๋วอธิบายพร้อมเสียงหัวเราะดังๆ ว่า มันย่อมาจาก "เพ้อเจ้อ"

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook