ไบรท์-พิชญทัฬห์ จันทร์พุฒ "ความขยันกับความพยายามเอาชนะทุกอย่างได้ โดยเฉพาะการเรียนภาษา"

ไบรท์-พิชญทัฬห์ จันทร์พุฒ "ความขยันกับความพยายามเอาชนะทุกอย่างได้ โดยเฉพาะการเรียนภาษา"

ไบรท์-พิชญทัฬห์ จันทร์พุฒ "ความขยันกับความพยายามเอาชนะทุกอย่างได้ โดยเฉพาะการเรียนภาษา"
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ฉบับนี้ I Get English อาสาพาคุณไปพูดคุยกับพิธีกรคนเก่งขวัญใจคอข่าว "ไบรท์-พิชญทัฬห์ จันทร์พุฒ" หรือที่หลายคนเรียกติดปากว่า "น้องไบรท์" ตามคำ เรียกขานอย่างเอ็นดูของ "สรยุทธ สุทัศนะจินดา" พิธีกรรุ่นพี่จากรายการ "เรื่องเล่าเช้านี้" รายการข่าวยามเช้าที่เรียกได้ว่าฮิตที่สุดแห่งยุครายการหนึ่ง

ไบรท์เรียนชั้นประถมศึกษาที่โรงเรียนเซนต์โยเซฟบางนา ชั้นมัธยมศึกษาเรียนที่โรงเรียนสตรีสมุทรปราการ จากนั้นเรียนปริญญาตรีที่คณะอักษรศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เอกภาษาสเปน จบแล้วเรียนปริญญาโทที่สถาบัน
บัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (NIDA) คณะภาษาและการสื่อสาร (Language and Communication)

ณ วันนี้ ไบรท์คือผู้ประกาศข่าวที่ประสบความสำเร็จ แต่เชื่อไหมว่าความฝันในวัยเด็กของไบรท์คือการเป็นคุณหมอ
"ตอนมัธยมเรียนสายวิทย์-คณิต ความตั้งใจแรกคิดว่าอยากเป็นหมอ พอขึ้น ม.4 ก็ตั้งใจไว้ว่าถ้าไม่ได้เป็นหมอก็จะเป็นหมอฟัน เภสัชกรแล้ววันหนึ่งความจริงก็เปิดเผยว่าเราอาจจะไม่ได้ชอบสายนี้ ตอนที่อยู่ ม.4 ใครที่อยากเป็นหมอจะต้องไปผ่านการฝึกงานที่โรงพยาบาล ไบรท์ก็ไปฝึกงานกับเพื่อน แต่ละคนจะมีโปรแกรมว่าต้องไปฝึกอะไรบ้าง ปรากฏว่าตารางวันแรกของไบรท์คือตอนเช้าเข้าหอ้ งฉุกเฉิน ตอนบ่ายเข้าห้องผ่าตัดในขณะที่เพื่อนๆ เริ่มต้นจากแผนกโภชนาการไปฝึกพับผ้าก่อน แล้วเช้าวันจันทร์หลังจากที่ห้องผ่าตัด
หยุดในวันเสาร์-อาทิตย์ ทำให้มีการผ่าตัดตั้งสองสามครั้ง เราเห็นแลว้ ก็สลดและหดหู่ใจมาก จำ ได้ว่ามีผู้ชายคนหนึ่งผ่าหลังแล้วเราเห็นซี่โครงเขาเลยเราต้องไปช่วยเข็นคนไข้ที่สลบ เรากลัวว่าถ้าเขาลุกขึ้นมาจะทำอย่างไร บางทีคนไข้อาเจียนก็ต้อง
ไปช่วยพี่พยาบาลดูแล กลับมาก็ไปบอกแม่ว่าคงเป็นหมอไม่ได้แล้ว แต่ไม่ได้บอกเพื่อน ถึงจะกลัวแต่ก็ไปฝึกต่อจนจบคอร์สนะคะเพราะกลัวเสียฟอร์ม (หัวเราะ) อาจจะเป็นเพราะตอนนั้นเป็นเด็กเกินไปด้วยทำให้รู้สึกแบบนั้น
"ไบรท์เลยเริ่มคิดที่จะเปลี่ยนแนวคิด ตอนนั้นการเอ็นทรานซ์เป็นการสอบ 2 ครั้งแล้วเลือกคะแนนครั้งที่ดีที่สุด ครั้งแรกยังสอบวิชาสำหรับสายวิทย์อยู่เลย ก็เริ่มมองเห็นว่าคะแนนทางภาษาของเราโดดเด่นขึ้นมา พอครั้งที่สองก็ปรึกษาคุณ
แม่ ซึ่งมันเป็นเรื่องใหญ่มากสำหรับครอบครัวเพราะคุณพ่ออยากให้เรียนสายวิทย์ คราวนี้ก็เลือกสอบเฉพาะวิชาสำหรับสายศิลป์ แล้วก็ไปเรียนพิเศษวิชาภาษาอังกฤษกับสังคมค่ะ"

ทำไมตัดสินใจเลือกเรียนต่อมหาวิทยาลัยในสาขาภาษาสเปน
"เนื่องจากไบรท์เรียนสายวิทย์มา ทำให้เลือกเรียนสาขาภาษาฝรั่งเศสหรือเยอรมันไม่ได้แน่นอน เพราะจะเรียนไม่ทันเพื่อนๆ ที่เรียนกันมาแล้ว สำหรับภาษาญี่ปุ่นหรือจีน ณ ตอนนั้นไม่ได้สนใจ ส่วนภาษาสเปนหรืออิตาลีมีคนเรียนน้อยแล้วไบรท์ก็อยากทำงานสถานทูต จึงคิดว่าเราน่าจะเลือกเรียนภาษาอื่นๆ ที่มันแปลกไป สุดท้ายก็เลือกสเปนค่ะเพราะคิดว่ามันใช้ได้กว้างกว่า"

จากคนที่เรียนวิทย์มาโดยตลอดพอเปลี่ยนมาเรียนสายภาษาต้องปรับตัวอย่างไรบ้างคะ
"ต้องปรับตัวเยอะมาก ไม่เคยรู้มาก่อนว่าภาษามันต้องมีเพศ โดนหักคะแนนแหลกลาญเลยค่ะ เพราะความระมัดระวังของเด็กสายวิทย์จะต่ำกว่าคนที่เรียนภาษามาก่อน เทอมแรกได้เกรดเฉลี่ยประมาณ 3.2 จากที่เคยเรียนมัธยมได้ 3.8 อยู่ห้องคิง เทอมสองเริ่มปรับตัวได้ก็ได้ 3.6 พอปีแรกเข้าเอกไปก็ได้เกรด 3.6-3.7 ไปเรื่อยๆ เหมือนตอนแรกเรายังอ่านหนังสือไม่เป็น ความระมัดระวังยังต่ำ การสอบเก็บคะแนนย่อยๆ เยอะมันทำให้เรารู้ว่าเราต้องระวัง ต่อมาได้ไปเรียนภาษาจีนด้วย เป็นวิชาเลือกเสรีค่ะ ก็โดนหักคะแนนขีดละ ¼ คะแนนเหมือนกัน"

เปลี่ยนสายมา ไม่มีพื้นฐาน พัฒนาตัวเองอย่างไรผลการเรียนจึงดีขึ้นได้ขนาดนี้
ก็เรียนพิเศษอีกค่ะ (หัวเราะ) ไม่หรอก ก็จะมีรุ่นพี่ที่เก่งๆ หรือพี่รหัสที่อยู่ในสายเดียวกันช่วยติวให้ และก็ดูจากหนังสือเขาให้ต่อๆ มา เราก็เอามาดูและเริ่มรู้แล้วว่าเขาอ่านหนังสือกันยังไงพออ่านแล้วมีหัวข้อแบบนี้ๆ ส่วนภาษาสเปนพอ
รู้ว่าจะเลือกเป็นวิชาเอกปุ๊บก็เรียนพิเศษเลย ถ้าจะเลือกเป็นวิชาเอก เกรดเทอมแรกกับเทอมสองของวิชาภาษาสเปนต้องได้ B กับ B ตัวแรกยังปรับตัวไม่ได้จึงได้ B พอเทอมสองก็ให้พี่ที่เก่งติวให้พร้อมกับเพื่อนๆ ก็เลยได้ A ค่ะ
คือเราอาจจะทำงานหนักมากกว่าคนอื่นๆ หน่อย ต้องปรับตัว ต้องพยายามมากกว่าคนอื่นๆ เขา แต่ที่สุดแล้วมันทำให้เราได้รู้ว่าเราจะชนะทุกอย่างได้ถ้าเรามีความพยายาม วันหนึ่งเราจะขึ้นไปเท่ากับเพื่อนได้


จากที่ได้เรียนทั้งสองภาษา ไบรท์คิดว่าภาษาอังกฤษกับสเปนต่างกันอย่างไรคะ
ภาษาสเปนกับภาษาอังกฤษใช้ตัวอักษรแทบจะเหมือนกันทั้งหมด แต่ภาษาสเปนอาจจะมีตัวอักษรหน้าตาแปลกๆ เช่น มีเครื่องหมายกำกับเพิ่มเข้ามา สิ่งที่แตกต่างของ 2 ภาษานี้อยู่ที่การอ่านภาษาอังกฤษมันดิ้นได้ในการอ่าน เช่น ตัว a ซึ่งทำหน้าที่เป็นสระไปอยู่ในคำหนึ่งอาจจะอ่านแบบหนึ่ง แต่ไปอยู่ในอีกคำอ่านอีกแบบ เช่น คำว่า car ตัว a จะออกเสียงเป็น สระอา แต่พอเป็นคำว่า cat ตัว a จะออกเสียงเป็น สระแอ แต่ถ้าเป็นภาษาสเปน สระ a-e-i-o-u ไปอยู่ตรงไหนมันก็
อ่านออกเสียงตายตัว เช่น a ออกเสียง อา / e ออกเสียง เอ / i ออกเสียง อี / o ออกเสียง โอ / u ออกเสียง อู คือไม่ว่าจะประกอบกับพยัญชนะตัวไหนก็อ่านเหมือนเดิม เพราะฉะนั้นภาษาสเปนจะอ่านง่ายกว่า แต่ถ้าไปดูไวยากรณ์ภาษาสเปน
จะยากกว่า เพราะคำศัพท์มีเพศหญิง เพศชายต้องผันกริยาตามประธาน ผันตาม tense นั่นจึงทำให้ในการพูดหรือเขียน ภาษาสเปนสามารถละประธานได้ แต่ 2 ภาษานี้ก็มีอิทธิพลซึ่งกันและกันนะ สังเกตจากคำศัพท์หลายคำที่คล้ายกัน เช่น
คำว่า conversation อ่านว่า คอน-เวอ-เซ-ชั่น ที่แปลว่า บทสนทนา ในภาษาอังกฤษ ภาษาสเปนก็มีคำว่า conversacio'n อ่านว่า กอน-เบร์-ซา-ซิ-ออน แปลว่า บทสนทนาเหมือนกัน คือไบรท์มองว่า ภาษามันจะมี balance ในตัวของมันเอง
ถ้าไวยากรณ์ยาก ตัวเขียนจะง่าย แต่ถ้าไวยากรณ์ง่าย ตัวเขียนจะยาก เช่น ภาษาจีนตัวเขียนยากมาก แต่ไวยากรณ์ง่าย คล้ายกับภาษาไทย

เส้นทางสู่การเป็นนักข่าว
ต้องย้อนไปตั้งแต่สมัยยังเรียนอยู่ปีสอง ตอนนั้นมีรายการข่าวเที่ยงวัยทีนของช่องไอทีวี ซึ่งมีนิสิตนักศึกษาไปอ่านข่าว ไบรท์ดูแล้วรู้สึกว่าเราทำได้จึงเขียนจดหมายไปสมัครและก็ได้อ่าน จากนัน้ มีการโหวตจากผู้ชมทางบ้าน ก็ได้เป็นขวัญใจวัยทีนจึงได้ไปอ่านอีก พอดีมีการหาผู้ประกาศข่าวกีฬาพอดี เขาก็จะให้คนกลุ่มนี้แหละไปเทสต์ ครั้งแรกที่อ่านข่าว ไบรท์อ่านชื่อนักกีฬาผิดหมดเลยค่ะเพราะตื่นเต้นแต่ก็ผ่านการคัดเลือกและอ่านข่าวกีฬาอยู่ประมาณ 1 ปีค่ะ ช่วงนั้นก็ได้เขียนสกู๊ปด้วย จากนั้นก็เริ่มมาเป็นพิธีกร ต่อมาก็ได้มาเป็นนักข่าวที่จับงานข่าวทั่วไปแบบเต็มตัวที่ช่อง 11 ไบรท์เป็นพนักงานอยู่โต๊ะข่าวต่างประเทศ ระหว่างนั้นก็ได้แปลข่าวและเป็นผู้ประกาศข่าวด้วยช่วงที่ทำช่อง 11 นี้ไบรท์ก็ได้ทำรายการ
อีกรายการหนึ่งด้วย คือ รายการเจาะลึก ครม.พอดีรายการเรื่องเล่าเช้านี้กำลังมองหาพิธีกรหญิงคนใหม่ พี่ยุทธคงได้ดูรายการนี้ ก็เลยไปบอกพี่โปรดิวเซอร์ว่าลองให้คนนี้มาทดสอบดู เป็นความโชคดีของไบรท์ค่ะที่พี่ยุทธเห็นและคิดว่าน่าจะทำได้ จากนั้นก็มีการทดสอบแล้วก็ผ่านค่ะ

คิดอย่างไรกับคำกล่าวที่ว่า "ภาษาอังกฤษอยู่รอบตัวเรา"
"ทุกคนต้องมีความเกี่ยวข้องกับภาษาอังกฤษไม่มากก็น้อย อย่างงานนักข่าวหรือผู้ประกาศก็ต้องใช้ค่ะ เช่น มี CNN สดเข้ามา อาจจะต้องอ่านแล้วพูดเดี๋ยวนั้นเลย หรือมีบางครั้งอาจต้องแปลหรือเป็นล่ามในรายการด้วยค่ะ"

เคล็ดลับเก่งภาษาสไตล์ไบรท์
"สิ่งที่จะนำเราไปสู่จุดหมายปลายทางได้คือความขยัน ขี้เกียจไม่ได้เลย คือถ้าขยันแล้วก็จะมีความพยายามและความตั้งใจ อยากเก่งภาษาอังกฤษก็ต้องตั้งใจท่องคำศัพท์ ฝึกฝน และต้องเรียนรู้จากการใช้งานจริงๆ อาจจะคุยกับเพื่อนดูทีวี ดูหนัง หรืออาจเริ่มต้นจากการดู subtitle ประกอบไปด้วย"

กำลังใจจากไบรท์สำหรับคนที่ท้อแท้จากการฝึกภาษา
"เรื่องของความขยันกับความพยายามยังไงก็เอาชนะทุกอย่างได้ โดยเฉพาะกับการเรียนภาษาคือเราอาจจะทักษะน้อยกว่าคนอื่นๆ เราอาจจะไม่ได้โดดเด่นหรือเก่ง แต่ถ้ามีสองสามอย่างนี้เราไม่แพ้คนอื่นๆ แน่นอน
"อีกอย่างไบรท์คิดว่าคนที่มีความรู้ด้านภาษาเป็นคนที่มีเสน่ห์ เราจะรู้สึกว่า เอ๊ะ..คนนี้พูดจีนได้ พูดญี่ปุ่นได้ เขียนกลอนอังกฤษได้ด้วยนะ ก็อยากจะให้มุ่งมั่นต่อไปค่ะ สำหรับคนที่ไม่ได้เรียนแต่ต้องใช้ทำงาน ก็ต้องช่างสังเกต ตอนไบรท์ไป
ฝึกงานที่สถานทูตสเปน ต้องพูดกับท่านทูตโดยที่มีพี่เจ้าหน้าที่ช่วย ท่านก็เอากระดาษมาปิดไม่ให้ไบรท์เห็นพี่เจ้าหน้าที่ ไม่ให้ถามได้ ท่านบอกให้ตั้งใจฟัง พอตั้งใจฟัง เราก็เฮ้ย...เราก็ฟังได้นี่นา ฉะนั้นเรื่องการเรียนภาษาอยากให้เดินหน้าเต็มที่
เลยค่ะ"

ฟังแล้วกำลังใจของผู้อ่าน I Get English คงมาเต็ม เรามาเดินหน้าให้เต็มที่กับการเรียนภาษาไปพร้อมๆ กันนะคะ

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook