เสียงซอ เลิศรัตนชัย จ๊อกกี้สาวดาวดวงใหม่ระดับโลก

เสียงซอ เลิศรัตนชัย จ๊อกกี้สาวดาวดวงใหม่ระดับโลก

เสียงซอ เลิศรัตนชัย จ๊อกกี้สาวดาวดวงใหม่ระดับโลก
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

หลังการแข่งขัน "เอฟอีไอ เวิลด์ จัมปิ้ง ชาเลนจ์ ไฟนอล 2013" ณ ประเทศเวเนซุเอลา สิ้นสุดลงอย่างเป็นทางการเมื่อปลายเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา

ชื่อของ "เสียงซอ เลิศรัตนชัย" นักขี่ม้าข้ามเครื่องกีดขวางดาวรุ่งดีกรีทีมชาติไทย ได้ถูกจารึกลงบนหน้าประวัติศาสตร์บทใหม่แห่งวงการขี่ม้าแดนสยาม ว่า เป็นนักกีฬาสัญชาติไทยคนเดียวและคนแรกที่สามารถคว้าสิทธิ์เข้าแข่งขันในรายการนี้ พร้อมทั้งซิวตำแหน่งรองชนะเลิศระดับโลกมาครองได้สำเร็จด้วยวัยเพียงแค่ 17 ปีเท่านั้น

อีกทั้งผลงานเกียรติยศอื่น ๆ ก่อนหน้ายังมีอีกมากมายทั้งในและนอกประเทศ อาทิ แชมป์ถ้วยพระราชทานคิงส์คัพ 2556, แชมป์เพรสซิเดนท์คัพ 2555, แชมป์หมวดเอและบีรายการเอฟอีไอเวิลด์ จัมปิ้ง ชาเลนจ์ 2012 เป็นต้น


 จากย่อหน้าด้านบน บรรดาคอบันเทิงรุ่นเก๋าน่าจะรู้สึกสะดุดตาและคุ้นหูกับนามสกุลของสาวน้อยนักขี่ม้ารายนี้อย่างแน่นอน เพราะเสียงซอเป็นลูกสาวคนที่ 2 ของ "วินิจ เลิศรัตนชัย" นักจัดรายการวิทยุชื่อดังและบิ๊กบอสแห่งอาณาจักร "เฟรชแอร์ เฟสติวัล" กับ "เพ็ญพิสุทธิ์ เลิศรัตนชัย" อดีตนางเอกชื่อดังยุค 90

 ด้วยพื้นฐานทางครอบครัวของเสียงซอ อาจทำให้ใครหลายคนตั้งข้อสงสัยว่าอะไรคือแรงผลักดันให้สาวน้อยผู้เติบโตขึ้นมาภายใต้การเลี้ยงดูของ2 บุคลากรชั้นยอดจากฟากฝั่งบันเทิง เลือกเดินบนเส้นทางสาย "กีฬา" แทนที่จะ กลายเป็นลูกไม้หล่นใต้ต้นมายา ดีกรีความสามารถของสาวน้อยคนนี้โดดเด่นและกำลังเป็นที่น่าจับตามอง

 ในขณะนี้ "ประชาชาติธุรกิจ" จึงได้นัดพูดคุยกับเสียงซอ ณ คอกม้าฮอร์ส เลิฟเวอร์ คลับ ย่านรังสิต

 เสียงซอเล่าว่า พื้นฐานความชอบทางด้านกีฬาเริ่มต้นมาจากการปลูกฝังของคุณพ่อและคุณแม่ ที่ต้องการใช้กีฬาเป็นสื่อการสอนให้ลูกสาวทั้ง 2 คน (พี่สาวคือ สายลับ เลิศรัตนชัย) รู้จักแนวทางการใช้ชีวิตในสังคมโลก

 "คุณพ่อมักพูดอยู่เสมอว่า กีฬาจะเป็นสิ่งที่ช่วยสอนทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตของมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นการรู้จักแพ้ รู้จักชนะ มีความสามัคคี มีความสม่ำเสมอ มีความอดทน ดังนั้น เราสองพี่น้องจึงถูกปลูกฝังให้เล่นกีฬามาตั้งแต่เด็ก  ๆ จนตอนนี้ความรู้สึกที่มีต่อกีฬาได้พัฒนากลายเป็นความรักที่ไม่สามารถขาดได้อีกแล้วในชีวิต"
ก่อนหน้าที่เสียงซอจะกลายเป็นสาวน้อยมหัศจรรย์แห่งวงการขี่ม้าไทยประตูสู่เส้นทางสายกีฬาของเธอไม่ได้เปิดออกบนหลังอาชาแต่อย่างใดอีกทั้งยังไม่ได้เริ่มจากบนบกเสียด้วยซ้ำ เนื่องจากกีฬาชนิดแรกที่ทำให้ลูกสาวคนที่ 2 ของตระกูลเลิศรัตนชัย ชื่นชอบสุดสุด คือ "ว่ายน้ำ"

 จ๊อกกี้ วัย 17 ย้อนเรื่องราวในอดีตให้ฟัง ว่า ตนเองลงสระว่ายน้ำอย่างจริงจังทุกวัน "เช้า-เย็น" ตั้งแต่เรียนอยู่ชั้นอนุบาล 2 จนถึงชั้นประถม 2 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เรียกได้ว่าทั้งชีวิตห้วงดังกล่าวไม่มีพื้นที่ว่างให้อะไรนอกจากการว่ายน้ำเพียงอย่างเดียว

 แต่หลังจากเสียงซอย้ายไปอยู่"โรงเรียนแฮร์โรว์อินเตอร์เนชั่นแนล สคูล" ในช่วงปี 3 ของวัยประถมศึกษา โลกทัศน์ทางกีฬาของสาวน้อยคนนี้ได้ถูกขยายให้กว้างขึ้นอีกหลายเท่าตัว จากการได้ลงไปหัดเล่นกีฬาชนิดอื่น ๆ อาทิ ฟุตบอล, วอลเลย์บอล, กรีฑา, บาสเกตบอล และขี่ม้า เพราะทางโรงเรียนบังคับให้นักกีฬา 1 คนต้องลงเล่นให้ได้อย่างน้อย 2 ชนิดเป็นอย่างต่ำ

 "ช่วงที่เรียนอยู่แฮร์โรว์แรก ๆ ซอเล่นกีฬาหนักมากและเล่นทุกชนิดทั้งเช้าทั้งเย็น แต่ก็ไม่รู้สึกชอบกีฬาไหนมากเป็นพิเศษ ที่มุ่งมั่นหน่อยคงเป็นการว่ายน้ำ แต่ว่าพอว่ายไปสักระยะหนึ่งการแข่งขันเริ่มใหญ่ขึ้น ด้วยความที่เราเป็นคนตัวเล็กจึงเริ่มเสียเปรียบคนอื่นมากขึ้น เราออกแรง 2 เท่าจะเท่ากับเขาออกแรงเท่าเดียว ดังนั้น ตอนอายุ 9-10 ขวบจึงหันมาจริงจังกับการขี่ม้าเป็นหลัก เพราะกีฬาชนิดนี้ไม่มีกำแพงทางด้านสรีระ เพศ และอายุ"

 หากยังจำกันได้ในโอลิมปิก 2012 ณ กรุงลอนดอน นักกีฬาขี่ม้าชาวญี่ปุ่นนาม "ฮิโรชิ โฮเกตซึ" ยังสามารถคว้าสิทธิ์เข้าร่วมการแข่งขันได้ด้วยอายุอานามถึง 70 กะรัต ดังนั้น นี่จึงเป็นเครื่องการันตีชั้นดีของความเท่าเทียมในกีฬาขี่ม้า อีกทั้งยังเป็น "เสน่ห์" และ "เอกลักษณ์" ที่ทำให้เสียงซอตกหลุมรักการควบขี่อาชาข้ามเครื่องกีดขวางจนถอนตัวไม่ขึ้น

 "การขี่ม้าต้องใช้ทั้งม้าและคนไม่มีความได้เปรียบเสียเปรียบทางด้านกายภาพเป็นเรื่องของประสบการณ์ล้วน ๆ ใครสามารถรวมม้ากับคนเป็นหนึ่งเดียวกันได้มากที่สุด คนนั้นก็มีโอกาสที่จะได้รับชัยชนะมากที่สุดในการแข่งขัน สิ่งสำคัญอยู่ที่การสื่อสารระหว่างคนกับม้า แน่นอนว่าเขาคุยกับเราไม่ได้ ดังนั้น เราจึงต้องเป็นฝ่ายเข้าไปหาเขาเพื่อที่จะทำความเข้าใจในทุกวิถีทาง ให้เขาได้พร้อมที่จะไปกับเราได้ทุกการแข่งขัน"

 สำหรับม้าของเสียงซอขณะนี้มีอยู่ 2 ตัวที่ขี่มาราว 3-4 ปีแล้ว ได้แก่ "วิกตอรี่" และ "เอลโม่" ซึ่งกว่าที่จะลงตัวกับพาหนะคู่ใจในสนามแข่งขันทั้งสอง จ๊อกกี้สาวต้องใช้ระยะเวลาเกือบ 3 ปีเลยทีเดียว โดยเฉพาะวิกตอรี่ที่ไม่ได้เป็นม้าของตัวเองมาตั้งแต่แรกเริ่ม เพราะรับช่วงต่อมาจากพี่สาวที่ตัดสินใจไปเรียนต่อต่างประเทศ จึงเป็นเรื่องยากพอสมควรที่จะบังคับให้ม้าเก่งตัวนี้เคลื่อนไหวในทิศทางที่ต้องการ แต่พอถึงจุดที่คนและม้าหลอมรวมกันได้ความมั่นใจและผลงานที่ดีจะตามมาเอง

ทักษะการปรับตัวคนขี่ให้เข้ากับสไตล์ของม้าแข่งนับว่าเป็นสิ่งที่จ๊อกกี้ไม่อาจขาดได้อย่างแท้จริงเพราะในการแข่งขันระดับนานาชาติส่วนมากมักจะใช้ระบบ "ม้ากลาง" หรือม้าของประเทศเจ้าภาพในการแข่งขัน โดยจะมีเวลาให้นักขี่ม้าแต่ละคนได้ทำความคุ้นเคยกับม้าที่จับสลากได้ภายใต้ระยะเวลาจำกัดไม่เกิน 30 นาที เพื่อรักษาความเท่าเทียมที่จะเกิดขึ้นในสนาม

ในการแข่งขันเอฟอีไอ เวิลด์ จัมปิ้ง ชาเลนจ์ ไฟนอล 2013 ที่ใช้ระบบม้ากลางเหมือนกันนั้น เสียงซอจับสลากได้ "ม้าเทมพลาริโอ" ซึ่งเป็นม้าที่ขี่ยากมากที่สุดในการแข่งขัน แต่ด้วยประสบการณ์และเทคนิคที่สั่งสมมาตลอด บวกกับคำแนะนำของ "โค้ชเอ้-อรรคสิทธิ์ เตียตระกูล" ทำให้เธอสามารถจัดการกับบังคับม้าตัวนี้ได้อย่างคล่องแคล่วจนทะลุไปถึงรอบชิงชนะเลิศ และคว้าตำแหน่งที่ 2 ของการแข่งขันมาครองได้สำเร็จ

เป้าหมายต่อไปของเสียงซอคือ "ซีเกมส์ ครั้งที่ 27" ณ ประเทศเมียนมาร์ ซึ่งตอนนี้ได้มีการเปลี่ยนกติกาแข่งขันมาเป็นระบบม้ากลาง ทำให้สมาคมขี่ม้าแห่งประเทศไทยต้องเริ่มกลับมานับหนึ่ง คัดเลือกนักกีฬา 5 คนกันใหม่ตั้งแต่ต้น ซึ่งกระบวนการทั้งหมดจะเริ่มขึ้นในช่วงเดือนกรกฎาคมที่จะถึงนี้

เสียงซอยอมรับว่า ตอนนี้ยังไม่อาจมั่นใจได้เต็มร้อยว่าเราจะติด 1 ใน 5 ไปแข่งซีเกมส์ เพราะการขี่ม้าข้ามเครื่องกีดขวางเป็นสิ่งที่ไม่สามารถคาดหวังอะไรได้เลย มีเพียงอย่างเดียวที่คาดได้นั่นคือ ต้องทำให้ดีที่สุดเท่านั้น ผลจะออกมาเป็นยังไงก็ต้องยอมรับผลอันนั้น หากได้ไปและได้เหรียญทองกลับมา อันนี้ก็จะเป็นเหมือนกับใบเบิกทางไปสู่การแข่งขันที่ใหญ่ขึ้นในอนาคต

"เป้าหมายสูงสุดของซอคือการไปโอลิมปิกแต่การขี่ม้าต้องเดินไปทีละก้าวอย่างมั่นคงต้องค่อย ๆ เดินไปทีละก้าว ตอนนี้ตั้งเป้าไว้ที่ซีเกมส์ เอเชี่ยนเกมส์ และโอลิมปิก ระหว่างทางในปีหน้าจะมียูธโอลิมปิกเกมส์ที่หนานจิง ซึ่งควอลิฟายสิ้นเดือนกรกฎาคมนี้ จากนั้นค่อยโฟกัสไปที่โอลิมปิกหลังเก็บประสบการณ์ได้ในระดับหนึ่งแล้ว"

เสียงซออธิบายเพิ่มเติมว่า กีฬาขี่ม้าเป็นประเภทที่เราต้องเรียนรู้ใหม่ทุกวัน การขี่แต่ละครั้งจะไม่มีทางเหมือนเดิม รายละเอียดต่าง ๆ ของการควบขี่จะผันแปรอยู่เสมอ

"ขี่ม้าเป็นกีฬาที่แปลกมาก เราอาจจะเป็นแชมป์วันนี้ แต่พรุ่งนี้เราอาจจะตกม้าก็ได้ ทุกรอบที่แข่งจะมีทั้งดีและไม่ดี ซึ่งทุกครั้งจะให้ประสบการณ์และคำสอนกับเราว่าครั้งหน้าเราจะทำยังไงเพื่อพัฒนาให้ดีขึ้น เราสามารถเก็บประสบการณ์และข้อผิดพลาดของเรามาพัฒนาในการแข่งครั้งต่อไป ดังนั้น เราต้องไม่ท้อและมีความมุ่งมั่น"

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook