รู้ทัน "โรค"...หน้าหนาว

รู้ทัน "โรค"...หน้าหนาว

รู้ทัน "โรค"...หน้าหนาว
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

โดย นายแพทย์วิชัย เทียนถาวร อดีตปลัดกระทรวงสาธารณสุข

ล่วงเข้าสู่เดือนพฤศจิกายน เป็นสัญญาณของการก้าวเข้าสู่ฤดูหนาว กรมอุตุนิยมวิทยา รายงานเมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน 2556 ดอยอินทนนท์ จังหวัดเชียงใหม่ อุณหภูมิต่ำสุด 6 องศาเซลเซียส...หลายคนเตรียมพร้อมเดินทางออกต่างจังหวัดโดยเฉพาะเหนือและ อีสาน เพื่อสัมผัสอากาศหนาว

ท่ามกลางลมหนาวพัดโชย อุณหภูมิ "การเมือง" กลับร้อนฉ่า "กลุ่มชน" "พลังมวลชน" ออกมาตามท้องถนน ทั้งอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ถนนราชดำเนิน ถนนอุรุพงษ์ ก่อนที่สถานการณ์จะถึงจุดเดือด "รัฐบาล" ก็ออกมาลดอุณหภูมิ ด้วยการประกาศถอนร่างพระราชบัญญัติทั้ง 6 ฉบับ ดับความร้อนแรง ผนวกการผนึกกำลังของ ส.ว. ช่วยกันตั้งสติกลั่นกรองด้วยความรอบคอบ ถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน เพราะ "เราคนไทย" เหมือนกัน

โดยเฉพาะอยู่ในช่วงเวลาไว้ทุกข์ 100 วัน ถวายสมเด็จพระญาณสังวรฯที่พวกเราชาวไทยทุกคน เชื่อเหลือเกินว่า คำสอนของสมเด็จพระสังฆราชฯที่ว่า ความตระหนักในสิ่งที่เป็น "จริงของวันนี้" ไม่ใช่เมื่อวานนี้หรือพรุ่งนี้ และต้อง "คิด พูด ทำ" แต่ดีดีในวันนี้ ไม่ต้องรอ ทำกรรมดีที่เป็น "ชนกกรรม" กรรมเป็นเหตุให้เกิด ชีวิตนี้ไม่มีอะไรแน่นอน อะไรๆ ก็เกิดได้ไม่รู้ตัว ชีวิตนี้จักสวัสดี และข้างหน้าก็จักสวัสดีด้วย

และสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังษี) วัดระฆังโฆสิตาราม ได้ตัดสินคดีความ พระในวัดของท่านตีเพื่อนพระด้วยกันจนหัวแตก ท่านชำระความด้วยการบอกให้เจ้าทุกข์แก้ปัญหาด้วยการให้ "อภัย" กรรมก็จะได้สิ้นสุดกันด้วยการยกโทษให้ โดย "สมัครใจ" ก็จะดับความร้อนแรงในอารมณ์แห่งโลภ โกรธ หลง เอาเป็นเอาตายให้เบาบางลงจนกระทั่งจิตสงบ และอยู่ด้วยกันอย่างสันติ ร่มเย็น ในที่สุด?

เรียกว่าเอา "ธรรมะ" ดับร้อน

กลับเข้ามาที่อุณหภูมิของอากาศ ซึ่งกำลังเริ่มเย็นกันทั่วประเทศ เรียกว่า "ปลายฝน ต้นหนาว" ศูนย์อุตุนิยมวิทยาภาคเหนือจังหวัดเชียงใหม่รายงานว่า บริเวณความกดอากาศสูงจากประเทศจีนแผ่ลงมาปกคลุมตอนบนของประเทศไทย ทำให้ภาคเหนือมีอากาศเย็นและมีหมอกในตอนเช้า อุณหภูมิพื้นราบเฉลี่ย 17-20 องศาเซลเซียส บนยอดดอย 8-12 องศาเซลเซียส แต่ยอดดอยอินทนนท์ อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ มีสภาพหนาวจัดที่สุดในช่วงนี้ ลดถึง 4-6 องศาเซลเซียส เชื่อว่าปีนี้คงจะหนาวไม่น้อยกว่าปีที่ผ่านมา การที่อากาศเปลี่ยนแปลง บางครั้งมีฝนตกบ้าง ย่อมมีผลกระทบต่อร่างกาย ทำให้เจ็บป่วยง่าย

โดยเฉพาะเด็กและคนชรา เพราะภูมิต้านทานโรคต่ำ การป้องกันแต่เนิ่นๆ สำคัญที่สุด ถ้าเจ็บป่วยแล้วจะรุนแรง

หน้าหนาวนี้มี "6-7 โรค" ที่พึงระวัง ได้แก่ ไข้หวัดใหญ่ ปอดบวม หัด อีสุกอีใส มือเท้าปาก อุจจาระร่วง ข้อมูลระบาดวิทยาตั้งแต่ปลายปี ช่วงพฤศจิกายน 2555 ถึงมกราคม 2556 ช่วงเดียวกันนี้ พบผู้ป่วย 6-7 โรคนี้ รวม 471,172 ราย เสียชีวิต 355 ราย โดยโรคที่มีความรุนแรงมากที่สุด คือ ปอดบวม มีผู้เสียชีวิต 350 ราย จากที่ป่วยทั้งหมด 64,155 ราย รองลงมาคือ ไข้หวัดใหญ่ 23,255 ราย เสียชีวิต 1 ราย อันดับ 3 คือ อุจจาระร่วง ผู้ป่วย 23,255 ราย เสียชีวิต 1 ราย ส่วนโรคมือ เท้า ปาก โรคอีสุกอีใส และโรคหัด ไม่มีผู้เสียชีวิต

อุบัติการณ์ดังกล่าวพบมากในวัยเด็กโดยเฉพาะอายุต่ำกว่า 5 ขวบ และผู้สูงอายุมากกว่า 60 ปีขึ้นไป และบางรายเป็นโรคไม่ติดต่อเรื้อรังอยู่แล้ว หรือผู้ป่วยติดเตียง เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคซีดจากการขาดธาตุเหล็ก โรคหัวใจ โรคอัมพาต โรคอัมพฤกษ์ โรคไตวาย รวมทั้งผู้พิการ ต้องได้รับการดูแลป้องกันเป็นพิเศษ

โดยมีข้อแนะนำในการป้องกันโรคที่สำคัญ 6-7 ข้อ ดังนี้

1.สร้างสุขภาพด้วย "3อ." ออกกำลังกาย อาหาร อารมณ์ ไม่ว่าเด็ก ผู้ใหญ่ ผู้สูงอายุ ขอให้ "ออกกำลังกาย" วันละ 15-30 นาที วันเว้นวัน หรือทุกวัน จะได้มีภูมิต้านทานไม่เจ็บป่วยง่าย ปอด หัวใจทำงานดี แข็งแรง โรคติดเชื้อทางเดินหายใจและหลอดลม โรคแพ้อากาศ จะไม่เจ็บป่วยง่าย และคนที่จะเป็นโรคปอดบวม มีโอกาสเกิดน้อยมาก

2.ให้ความอบอุ่นแก่ร่างกาย เวลานอนพักผ่อนสวมเสื้อผ้าให้หนาพอ ผ้าห่ม ผ้านวมต้องสะอาดและหนาพอที่จะให้ความอบอุ่น และเพิ่มความอบอุ่นเป็นพิเศษที่บริเวณศีรษะ คอ หน้าอก บางรายเป็นโรคภูมิแพ้ อาจจะต้องมีผ้ามาสค์ปิดจมูก ป้องกันละอองฝุ่นหรือเกสรด้วย

3.อาหาร ควรรับประทานต้องสะอาด สด มีประโยชน์ให้ครบ 5 หมู่ เน้นผัก ผลไม้สด ซึ่งมีวิตามินซี จะช่วยเพิ่มภูมิต้านทานโรคได้ดี ไม่เจ็บป่วยง่าย

4.อารมณ์ สุขภาพจิตมีความสำคัญ ต้องนอนพักผ่อนให้เพียงพอ ไม่หักโหมทำงานหามรุ่งหามค่ำ จะทำให้เกิดอาการอ่อนเพลียเกินไป หลับใหลไม่รู้ตัวได้ ส่วนภาวะเครียดจากปัจจัยอื่นๆ เช่น ภาวะวิกฤตตึงเครียดทาง "การเมือง" มีการทะเลาะเบาะแว้ง แยกสี แยกพวก กลุ่ม ม็อบ ทางออกง่ายๆ ก็โดยปิดหู ปิดตา ไม่ฟังไม่รับรู้ชั่วคราว ทำให้คลายเครียดได้ ไม่ต้องไปวิตกกังวล เดี๋ยวเหตุการณ์ต่างๆ ก็จะดีเอง เพราะเป็นเรื่องของ "ธรรมชาติ" ทางการเมือง

5.อีกเรื่องที่สำคัญหน้าหนาว การดื่มเหล้า แอลกอฮอล์ และสูบบุหรี่ จะพบว่ามีการเสพมากกว่าปกติ เพราะเป็นช่วงไฮซีซั่นและมีวันหยุดมาก เช่น วันลอยกระทง วันคริสต์มาส วันปีใหม่ วันเกิด จะฉลองดื่มและสูบกันมากกว่าปกติ

การดื่มสุรา แอลกอฮอล์ ระยะแรกจะดูกระปรี้กระเปร่า พอมากขึ้นๆ จะมึนเมามากขึ้น กดสมองทำให้มึนหมดสติได้โดยไม่รู้ตัว

การสูบบุหรี่ก็เช่นกัน พยายามหลีกเลี่ยง โดยเฉพาะบุคคลที่มีโรคภูมิแพ้อากาศเย็นอยู่แล้ว หรือโรคหืดหอบ ต้องระวังดูแลสุขภาพเป็นพิเศษ ไม่ควรอย่างยิ่งในการสูบบุหรี่ อีกประเด็นหนึ่งช่วงนี้บางพื้นที่จะมีหมอกควันในท้องฟ้า มลภาวะทางอากาศจากหมอกควันเกิดจากการเผาป่า จะกระตุ้นทำให้หายใจหอบมากขึ้น ถ้ารุนแรงต้องรีบไปโรงพยาบาล เพราะอาจจะทำให้หายใจไม่ออก เกิดภาวะหายใจล้มเหลวได้ เพราะฉะนั้นควรงดการสูบบุหรี่โดยเด็ดขาดจะปลอดภัยที่สุด

6.โรคทางเดินอาหาร โดยเฉพาะอุจจาระร่วงหรือท้องเสียเกิดขึ้นได้เสมอ อาหารที่ทานควรเป็นอาหารสดๆ ทานอาหารร้อนๆ ทำให้สุกก่อนทาน เนื่องจากอากาศเย็น อาหารที่เก็บไว้นานๆ อาจจะไม่มีกลิ่นบูด สุขภาพอนามัยส่วนบุคคลก็ต้องดูแลเป็นพิเศษเช่นกัน "ล้างมือ กินร้อน ช้อนกลาง" เป็นสูตรสำเร็จป้องกันโรคทางเดินอาหารได้แน่นอน

7.บ้าน สถานที่พัก รีสอร์ต โรงแรม ที่มีจุดไฟฟืนเพื่อให้ความอบอุ่นกันหนาว ต้องระวังเรื่อง "อัคคีภัย" อย่าประมาท

ผู้เขียนขอเชิญชวนให้ "รู้ทันโรคหน้าหนาว ด้วยรู้การสร้างสุขภาพ" ด้วย "3อ. 2ส." ซึ่งเป็น "วัคซีนชีวิต" และ "ยาวิเศษ" โดยให้ใส่ใจดูแลสุขภาพเพื่อรับมือกับอากาศหนาว โดยสรุป คือ ให้ความอบอุ่นกับร่างกาย ผ้าห่มเลือกผ้าหนาๆ ที่สะอาด โดยเฉพาะหน้าอก ศีรษะ คอ หากมีละออง ฝุ่น ควัน เกสรดอกไม้ ผ้าปิดจมูกก็มีความสำคัญ ตามด้วย "ล้างมือ กินร้อน ช้อนกลาง" ทุกครั้ง ทุกมื้อ ที่ขาดไม่ได้คือ "ออกกำลังกาย" เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันโรค พักผ่อนให้เพียงพอ

ก่อนจาก ฝากอีกนิด...ขอเชิญชวนพวกเราชาวไทย 65 ล้านคน ได้ "สวดมนต์" ภาวนาให้วิกฤตต่างๆ ของบ้านเมืองได้คลายลง ให้ทุกฝ่ายคลาย "ทิฐิ" หันหน้าเข้าหากัน ให้ "อภัยกัน" ในฐานะ "คนไทย" ด้วยกัน จะได้อยู่ร่วมกันอย่างปกติสุขใต้พระบรมโพธิสมภารของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่ หัว "พ่อของแผ่นดิน" เดียวกัน

และอีก 22 วัน จะถึง 5 ธันวามหาราช เป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษา "วันพ่อแห่งชาติ" ซึ่งเป็นวันที่คนไทยทั้งชาติปีติสุขมากที่สุดแล้วนะครับ

ที่มา : นสพ.มติชน

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook