รู้จัก "หวัดขึ้นหู" กันมั้ย!

รู้จัก "หวัดขึ้นหู" กันมั้ย!

รู้จัก "หวัดขึ้นหู" กันมั้ย!
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

คอลัมน์ คลินิกหู คอ จมูก โดย นพ.ชัยยศ เด่นอริยะกูล หัวหน้ากลุ่มงานโสต ศอ นาสิก โรงพยาบาลกลาง สำนักการแพทย์ กรุงเทพมหานคร

ช่วงนี้อยู่ในช่วงฤดูหนาว ปีนี้รู้สึกว่าอากาศจะหนาวเย็นและหนาวนานกว่าหลายปีที่ผ่านมา อากาศที่หนาวเย็นเช่นนี้ สำหรับคนที่ไม่ชอบอากาศร้อน จะรู้สึกมีความสุขที่ได้ใส่เสื้อกันหนาวสีสวยงามตามแฟชั่น ได้ท่องเที่ยวขึ้นดอยสัมผัสความเย็นเป็นที่สนุกสนาน แต่สำหรับอีกคนหลายคนที่สุขภาพร่างกายไม่ค่อยแข็งแรง เช่น เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ หรือผู้ที่มีโรคประจำตัวรุมเร้า เป็นเบาหวาน โรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง ฯลฯ ฤดูหนาวนี้กลับกลายเป็นช่วงเวลาที่เสี่ยงต่อการไม่สบาย เป็นไข้หวัด คออักเสบ และการติดเชื้อของระบบทางเดินหายใจได้ง่ายที่สุด ดังนั้นในระยะนี้ท่านควรระมัดระวังป้องกันตัวเองให้ดี โดยรักษาความอบอุ่นของร่างกายให้เหมาะสม พักผ่อนให้เพียงพอ กินอาหารให้ถูกสุขลักษณะ หลีกเลี่ยงห่างไกลจากผู้ที่เป็นหวัด และป้องกันตัวเองด้วยการกินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือ แต่ถ้าทำเต็มที่แล้วก็ยังเป็นอยู่ดี ก็ต้องมาถึงขั้นตอนการรักษาแล้วละครับ

การดูแลรักษาคนที่เป็นหวัดนั้น ปกติก็ใช้เวลาประมาณ 3 - 5 วัน อย่างมากก็ไม่เกิน 7 วัน แต่ถ้าปล่อยทิ้งไว้นานหรือได้รับการรักษาที่ไม่ถูกต้อง สิ่งที่ตามมาก็คือโรคแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้ เช่น ไซนัสอักเสบ หลอดลมอักเสบ ปอดบวม หูชั้นกลางอักเสบหรือหวัดขึ้นหู เป็นต้น

ในคราวนี้ เราจะมาทำความรู้จักกับ "โรคหวัดขึ้นหู" กัน เพราะหลายคนอาจจะยังไม่คุ้นกับชื่อโรคนี้ สาเหตุของการเป็นหูชั้นกลางอักเสบ หรือหวัดขึ้นหูนี้ มักเกิดตามหลังจากมีการติดเชื้อของระบบทางเดินหายใจส่วนบน เช่น เป็นหวัด ลำคออักเสบ ต่อมทอนซิลอักเสบ แล้วเชื้อเกิดลุกลาม โดยผ่านท่อปรับความดันของหู ที่อยู่ในโพรงหลังจมูกหรือท่อยูสเตเชี่ยน (Eustachian tube) เข้าไปยังหูชั้นกลาง ทำให้เกิดอาการปวดหูข้างใด ข้างหนึ่ง หรือทั้งสองข้าง ผู้ป่วยจะมีไข้สูง การได้ยินลดลง หูอื้อ และถ้าปล่อยต่อไปประมาณ 1 - 2 วัน ก็จะเกิดแก้วหูทะลุ มีน้ำหนวกไหลออกมาจากหู โรคหวัดขึ้นหูนี้ส่วนมากมักเกิดในเด็กมากกว่าในผู้ใหญ่ เพราะท่อทางติดต่อจากโพรงหลังจมูกไปยังหูชั้นกลางจะสั้นมาก ในเด็กเล็กที่ยังพูดไม่รู้เรื่องหรือพูดไม่ได้ เด็กยังไม่สามารถบอกพ่อ แม่ได้ว่าปวดหู จะต้องสังเกตพฤติกรรมของเด็ก โดยจะพบว่าเด็กจะร้องให้โยเยหรือร้องไห้เสียงดังโดยไม่ต้องทราบสาเหตุ เด็กบางคนจะเอามือป้องหูตัวเอง หรือถ้าใครไปถูกหู ก็จะร้องไห้ขึ้นมาทันที เป็นต้น

การรักษาก็ต้องรักษาการเป็นหวัดควบคู่ไปกับหูชั้นกลางอักเสบโดยแพทย์หู คอ จมูก จะให้ยาฆ่าเชื้อแก้อักเสบ ร่วมไปกับยาลดน้ำมูก ยาแก้ไข้แก้ปวด ยาแก้ไอ และยาหยอดหูฆ่าเชื้อด้วย การรักษาจะใช้เวลาประมาณ 1-2 สัปดาห์ ในระหว่างนี้ห้ามให้น้ำเข้าหู ห้ามปั่นห้ามแคะหู ถ้ามีน้ำหนวกไหลออกมามาก แพทย์หู คอ จมูก จะใช้เครื่องดูดน้ำหนวกจากหูทำให้ลดอาการหูอื้อ การได้ยินดีขึ้น ผู้ป่วยอาจใช้สำลีเช็ดน้ำหนวกออกได้เองแต่เพียงภายนอก ถ้ารักษาได้ถูกต้องน้ำหนวกจะลดได้เองภายใน 2-3 วัน ส่วนแก้วหูที่ทะลุส่วนใหญ่เมื่อการอักเสบหายแล้ว ก็จะปิดได้เองภายใน 2-4 สัปดาห์

จะเห็นได้ว่าการเป็นหวัดในยุคปัจจุบันไม่ใช่เพียงโรคกระจอกๆ อย่างสมัยก่อน ที่มักจะคิดว่าเป็นแล้วหายได้เองเสมอไปนะครับ โปรดอย่าประมาท!! เพราะถ้าเป็นหวัดแล้วดูแลรักษาไม่ดี ปล่อยให้โรคลุกลามจนมีโรคแทรกซ้อน ก็จะกลายเป็นเรื่องใหญ่ เช่นหวัดขึ้นหู ซึ่งต้องเสียเวลารักษายาวนานมากขึ้น และถ้าโชคไม่ดีมีการติดเชื้อลงไปที่ปอด เป็นปอดอักเสบก็อาจจะถึงขั้นเสียชีวิตได้ครับ ผมขอบอก

ที่มา : หน้าพิเศษ Hospital Healthcare (นสพ.มติชน)

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook