ครูสองที่ใครๆ ก็รัก ในแบบ "บี้-สุกฤษฏิ์"

ครูสองที่ใครๆ ก็รัก ในแบบ "บี้-สุกฤษฏิ์"

ครูสองที่ใครๆ ก็รัก ในแบบ "บี้-สุกฤษฏิ์"
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

เชื่อว่านาทีนี้คงไม่มีครูคนไหนฮอตเท่า "ครูสอง" จากภาพยนตร์โรแมนติกคอมเมดี้ "คิดถึงวิทยา" จากค่ายหนังอารมณ์ดี "จีทีเอช"

เพราะนอกจากเนื้อหาชวนอมยิ้มที่พาให้หนังโกยรายได้ทะยานสู่ 100 ล้านในขณะนี้ "บี้ เดอะสตาร์ - สุกฤษฏิ์ วิเศษแก้ว" ที่มาสวมบทบาทก็เล่นได้อย่างน่ารักน่าหยิกซะเหลือเกินทั้งที่เป็นภาพยนตร์เรื่องแรกแท้ๆ

"ครูสองเหมือนกับเรา50-50 เลยล่ะ" คนถูกชมรีบออกตัวถึงสาเหตุหนึ่งที่เล่นได้ออกมาเนียน

นั่นคือ เขาทั้งคู่เหมือนกันตรงมีความเป็น "ลูสเซอร์" หรือ "พวกขี้แพ้" เล็กๆ

"ครูสองเป็นนักมวยปล้ำอาชีพไม่รุ่ง ชีวิตพลิกผันมาเป็นครูเลยจะไม่ค่อยรู้อะไร จัดการเด็กไม่ค่อยได้"

ขณะที่เขาแม้จะไม่ถึงขั้นนั้น แต่ "สมัยเรียนเราก็ไม่มีความมั่นใจ ขี้อาย"

"จนเข้าวงการถูกปลูกฝัง เพราะถ้ายังอายจะตกไป"

ขณะที่อีกเหตุผลก็คือ การถูกครูสอนการแสดงตามประกบทุกฉากเพื่อช่วยปรับทั้งวิธีการพูดและระดับเสียงไม่ให้เล่นใหญ่เหมือนอย่างใน "ละครเวที"

"ผมเล่นใหญ่เกินชินกับเวลาเล่นที่รัชดาลัย ครูจะบอกให้ลด ระดับเสียงเลเวลไหน ความชัดต้องปรับหมด ปกติผมพูดชัดมาก "ร เรือ" แล้วชีวิตจริงเป็นคนเสียงดัง เขาจะบอกเบาๆ ไม่ต้องโปรเจ็กต์เสียง"

"หรือการแสดงสีหน้าเล่นละครต้องใหญ่ขึ้นมาหน่อยนึงเพื่อดึงให้คนดูอยู่กับฉันรู้สึกว่าน่าสนใจ แต่นี่ไม่ต้องเรียกคนดู เล่นแบบเล็กๆ เบาๆ สบายๆ เพราะเรียกคนดูตั้งแต่เขาซื้อบัตรแล้ว"

ทว่าสำหรับหนังที่ต้องการคือ "ความสด" และ "ความเป็นธรรมชาติ"

ดังนั้น "ต้น-นิธิวัฒน์ ธราธร" ใช้วิธีไม่ให้บทแต่ละตอนแก่เขา อาศัยให้อ่านบทรวมๆ แล้วค่อยมาคุยกันอีกครั้งหน้าฉาก

"ก่อนเข้าฉากพี่ต้นจะบอกว่าความต้องการคืออะไร พูดประมาณไหน แล้วบอก ไปเอาตัวละครไปทำหน้าที่"

และไม่ว่าจะสั่งให้ทำอะไรคนเล่นจัดให้หมด เพราะการร่วมงานหนังกับจีทีเอชถือเป็นสิ่งที่ฝันไว้มานาน

"เหมือนผู้หญิงติดแบรนด์เนม แต่ผมติดแบรนด์จีทีเอช" เขาว่าพลางหัวเราะ

โดยตลอด 3 ปีที่นำเสนอตัวผ่านหลายทางเพื่อให้ค่ายหนังรับรู้ก็เพิ่งมาลงตัวเรื่องนี้ที่จะได้เห็นเขาในอีกมุมหนึ่ง

ซึ่ง "ผมอยากให้คนดูชอบแค่นั้น เราก็มีความสุข"

"เพราะเรื่องนี้เป็นหนังที่ดูได้ทั้งครอบครัว ไม่มีพิษภัย โรแมนติกคอมเมดี้"

"สิ่งที่ได้ตามมาแล้วแต่ว่าใครอยากจับตรงไหน"

"ถ้าใครไม่อยากจับอะไรเลย ก็ไปเอาความสนุก ความรัก ซึ้ง บรรยากาศความคิดถึง หรือใครชอบปรัชญาหน่อยๆ ก็มองว่าทำไมผู้ชายคนนี้ต้องเสียสละไปสอนนักเรียนที่เรือนแพกลางน้ำเพื่ออะไร อยากเห็นเด็กๆ เติบโตมาเป็นคนที่ดี"

"บางคนจับมุมมองที่ไดอารี่ การกลับไปมองเรื่องเก่าวันวานบางทีมันสนุกดีนะ"

แต่หลักๆ คือในมุมความรักกับคำถามว่าเชื่อหรือไม่หากคนจะรักกันได้โดยไม่เห็นหน้ากันมาก่อน

"ผมเชื่อว่ามีโอกาสเกิดจริงนะ"บี้บอกจริงจัง

แม้ก่อนหน้านี้จะไม่เคยเชื่อตามประสาเด็กสายวิทย์ที่คิดว่าทุกอย่างต้องเป็นไปตามเหตุและผลจนกระทั่งได้เข้ามาในวงการบันเทิง

"เริ่มเปิดโลก เริ่มดึงเหตุผลทิ้งเอาความรู้สึกเข้ามาทีละนิดจนทุกวันนี้เชื่อว่าจริง"

เพราะเห็นตัวอย่างจากหลายๆคู่ รวมทั้งได้เจอกับตัวเอง

"บางครั้งไม่เคยเห็นหน้า อ่านหนังสือก็อยากให้ผู้หญิงคนนี้มีตัวตนจริง หลงรักคนในนิยาย เริ่มจากคู่กรรมที่เพิ่งเล่นไปบรรยาย "อังศุมาลิน" น่ารักดีแก้มแดง คิ้วโก่ง มีรอยยิ้ม ถ้ามีตัวตนจริงเวิร์กมากเลย" คนพูดบอกเขินๆ

ที่หนักสุดคือ ตอนเด็กๆ เคยตามจีบสาวคนหนึ่งเพราะหน้าเหมือนตัวละครในเกมที่ชื่นชอบ แต่สุดท้ายก็แห้วรับประทาน ฮ่าาาาาา

ส่วนรัก ณ ขณะนี้คงไม่ต้องพูดถึง เพราะชีวิตเขาโฟกัสอยู่กับงาน โดยเฉพาะละครเวที "ข้างหลังภาพ เดอะ มิวสิคัล" ที่เพิ่งนำไปเสนอนายทุนที่นิวยอร์ก โดยอยู่ระหว่างรอผลว่าจะได้กลายเป็นบรอดเวย์ระดับโลกหรือไม่

"เราลงทุนเองไม่ได้ มันแพงมากเป็น 10 เท่าของที่นี่ ถ้าที่นี่ 10 ล้าน ที่นู่น 100 ล้าน"

โดยถ้าทุกอย่างเป็นไปตามเป้า สิ้นปีนี้เขาอาจจะได้ไปแสดงตามต่างจังหวัดของรัฐ เช่น นิวยอร์ก, ซีแอทเทิล, ซานฟรานซิสโก ฯลฯ

แต่ที่รู้ๆ คือการไปแคสติ้งร่วมกับมืออาชีพต่างชาติตลอด 2 ปีที่ผ่านมานั้นไม่ใช่เรื่องง่าย

"วันหนึ่งซ้อมติดกัน 8 ชั่วโมง ผมต้องแอบอัดกาแฟ กินวิตามิน ยาชูกำลัง หรือช่วงพักแอบหนีไปนอน 15 นาที คนคุมสเตจโหดมาก เขาบันทึกทุกอย่าง ถึงจะเหนื่อยก็แสดงออกไม่ได้ ไม่งั้นแคสติ้งเรื่องต่อไปประวัติเราจะไม่ดี" เขาโอด

โดยเฉพาะกับปัญหาใหญ่อย่างเรื่อง "ภาษาอังกฤษ" ที่ไม่ถนัดมาตั้งแต่เด็กก็ต้องเริ่มเรียนใหม่พร้อมๆ กับการแคสติ้ง

ดังนั้น จึงไม่ต้องถามว่า "ท้อบ้างไหม"

เพราะเขารีบบอกพลางหัวเราะ "ไม่เรียกบางช่วง เรียกว่าท้อทุกช่วงเลย"

"เลิกงานจะไปร้านอาหารไทยบ่อยมาก นั่งกินน้ำเปล่าเพื่อไปเจอพนักงานคนไทย คุยกับเขา ชวนเขาไปเที่ยว เป็นอีกวิธีผ่อนคลายความเครียดจากงาน บรรยากาศไทยๆ เหมือนที่บ้าน"

กระนั้นก็ยอมรับว่าเขาได้เรียนรู้มากขึ้น เรียนรู้การทำงานระดับโลกที่สู้กันด้วยความสามารถ ซึ่งล้วนทำให้เกิดการพัฒนาตัวเอง

"เมื่อเข้าไปอยู่ในดินแดนที่การแข่งขันสูง ทุกคนต้องเตรียมพร้อมตลอดเวลา เราก็ต้องพัฒนาเรื่อยๆ"

ส่วนเรื่องการใช้ชีวิตเขาว่า "ก็เสมอต้นเสมอปลาย"

"ถือว่าโชคดีมากกว่า บางคนใช้ชีวิตปกติแค่นอนอยู่บ้านก็มีข่าวเสียๆ หายๆ ผมอยู่บ้านเฉยๆ ก็ไม่มีไร การวางตัวของเราด้วยมั้ง เข้าวงการเพราะชอบการร้องเพลง การแสดง ไม่ได้คิดว่าต้องเป็นดาราโด่งดังมีชื่อเสียง"

"ชื่อเสียงก็ให้บริษัทดูแลไป ชีวิตก็เป็นของเราอยู่แบบปกติ"

"เอาใจเขามาใส่ใจเรา ถ้าไม่เหนือบ่ากว่าแรงก็ทำ ถ้าคิดว่าอะไรที่คนอื่นทำแล้วเราไม่สบายใจก็ไม่ทำใส่เขาเท่านั้นเอง"

ส่วน "บี้ เดอะสตาร์" ในอนาคตไกลๆ นั้น ก็คงจะอยู่ในวงการบันเทิงต่อไป

เพราะนักร้องดังว่า "อยากทำเพลงเป็นอาชีพเสริม แต่คงไม่ผันตัวเป็นนักแต่งเพลง อายุ 30-40 เล่นเป็นพ่อพี่ลุงก็โอเคนะ ไม่เหนื่อย หลายครั้งเล่นรับเชิญก็เวิร์กนะ สบายดี เพราะการเป็นตัวหลักต้องเล่นซีนแรกถึงซีนสุดท้ายของวัน"

"ต่อไปอายุมันรักษาไว้อย่างนี้ไม่ได้ ก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป"

"แต่อย่าเพิ่งเปลี่ยนตอนนี้นะ" เขารีบท้วง

เพราะรู้ว่าตอนนี้ยังมีโอกาสให้ทำสิ่งต่างๆ อีกมากมาย

"แล้วโอกาสไม่ใช่เข้ามาง่ายๆ ถ้าได้มาก็ต้องรักษาไว้จนถึงที่สุด"

"อย่างที่เขากำลังพยายามในทุกๆ งานที่ได้ทำ"


ที่มา : นสพ.มติชน

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook