ผลไม้-แม้แต่แอปเปิ้ล ก็ทำเราป่วยตายด้วยโรครวมมิตร

ผลไม้-แม้แต่แอปเปิ้ล ก็ทำเราป่วยตายด้วยโรครวมมิตร

ผลไม้-แม้แต่แอปเปิ้ล ก็ทำเราป่วยตายด้วยโรครวมมิตร
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

คอลัมน์ธรรมชาติบำบัด/นพ.บรรจบ ชุณหสวัสดิกุล dr.banchob@outlook.com http://www.balavi.com


ผลไม้-แม้แต่แอปเปิ้ล ก็ทำเราป่วยตายด้วยโรครวมมิตร


"แอปเปิ้ลวันละลูก ช่วยให้คุณห่างไข้ไกลหมอ" อาจารย์สุวรรณา ผู้กราบไหว้เจ้าแม่กวนอิมเป็นประจำ กำลังป่วยด้วยโรคอ้วน พาเอาร่างกายที่หนัก 90 ก.ก. มาหาด้วยความเหน็ดเหนื่อย

"ดิฉันเพิ่งกลับจากไต้หวัน เพราะลูกศิษย์ลูกหาที่นั่นเยอะ งานก็เยอะมาก ดังนั้น ทุกเช้าลูกศิษย์จะทำอาหารให้กิน ดิฉันก็บอกว่า กินง่ายๆ ขอแอปเปิ้ลสักลูกละกัน เพราะสุภาษิตที่ไต้หวันก็บอกว่า แอปเปิ้ลวันละลูกทำให้เราห่างไข้ไกลหมอนะ"

"ใช่แล้วครับ แต่แอปเปิ้ล 30 ลูกใน 1 เดือนก็อาจพาอาจารย์ให้ป่วยหนักเพราะโรคอ้วนและจะกลายเป็นเบาหวานในที่สุด" ผมแย้ง แล้วต่างคนต่างก็หัวเราะ เพราะเป็นอันรู้กันทั้งเธอและผมว่า เธอเป็นคนหนึ่งที่เคยดิ้นทุรนด้วยปัญหาโรคอ้วน ซึ่งแก้ปัญหาตัวเองไม่หลุดซะที

"ตื่นเช้าอาจารย์ก็กินไก่ย่างสักตัวกับผักสักจาน" ผมเริ่มทบทวนอาหารให้

"ไม่ได้หรอกค่ะ ดิฉันกินเจตอนเช้า" นั่นทำให้ผมชะงัก นึกสงสารว่าคนกินเจอย่างเธอมักจะหาของกินอร่อยๆ ได้ยาก

แล้วสุดท้ายก็มัวแต่เชื่อว่าผลไม้ดีต่อสุขภาพ แล้วกินเข้าไปทุกวันๆ จนอ้วนเละเทะ

เอาละ ท่านผู้อ่าน ผมกำลังจะเปิดศักราชต่อต้านการกินผลไม้และน้ำผลไม้กันจริงจังเสียที หลังจากที่ปล่อยผู้รักสุขภาพพากันชื่นชมกับการกิน "ผักผลไม้" ว่าเป็นหนทางออกของสุขภาพ แต่เอาเข้าจริงๆ ผักมักจะไม่ยอมกินเพราะขื่นและเตรียมให้พร้อมกินได้ยาก คนก็เลยเอาความสะดวกเข้าว่า กินผลไม้กันอย่างมักง่ายๆ แล้วปากก็พาป่วยด้วยประการฉะนี้

ผมกำลังจะบอกคุณว่าปัญหาสุขภาพที่รุมเร้าเราอยู่ทุกวันนี้ มีเหตุมาจากการกินคาร์โบไฮเดรตมากเกินไป ซึ่งหลายๆ คนมัวแต่หลีกเลี่ยงของหวาน แต่ลืมคิดไปว่าคาร์โบไฮเดรตที่อันตรายมาในรูปรสจืด อันได้แก่ แป้งข้าว ขนมปัง ก๋วยเตี๋ยว วุ้นเส้น และมากับหวานอมเปรี้ยวได้แก่ผลไม้ชนิดต่างๆ คือตัวร้าย

ทรรศนะของผมในเรื่องนี้มันช่างตรงกับแพทย์และนักวิชาการในต่างประเทศคนอื่นๆ ด้วย เริ่มต้นตั้งแต่ นพ.ริชาร์ด จอห์นสัน แพทย์อายุรศาสตร์ทางเดินปัสสาวะ มหาวิทยาลัยโคโลราโด เดนเวอร์ ที่กล่าวว่า "ทุกครั้งที่ผมศึกษาสาเหตุเบื้องลึกของโรคภัยไข้เจ็บแต่ละโรคในสมัยนี้ ก็มักจะไปจบลงที่สาเหตุจากความหวานนั่นเอง"

"คิดดูก็แล้วกัน ทำไมผู้คนทั่วโลกเวลานี้กว่า 1 ใน 3 จึงมีโรคความดันเลือดสูง เทียบกับเมื่อปี ค.ศ.1900 จะมีคนเป็นโรคความดันเลือดสูงเพียง 5% เท่านั้น? แล้วทำไมจึงมีคนทั่วโลกที่ป่วยด้วยโรคเบาหวาน 153 ล้านคนในปี ค.ศ.1980 เมื่อเทียบกับเวลานี้ที่เรามีผู้ป่วยเบาหวานทั่วโลก 347 ล้านคน? ทำไมคนอเมริกันจึงป่วยด้วยโรคอ้วนมากขึ้นทุกที? ก็น้ำตาลหรือความหวานนั่นแหละที่เป็นสาเหตุใหญ่"

มองย้อนหลังไปเมื่อปี ค.ศ.1675 ตอนนั้นยุโรปกำลังระเบิดระเบิงด้วยความหวาน นพ.โทมัส วิลลิส ซึ่งเป็นสมาชิกก่อตั้งราชสมาคมบริทิช เป็นคนแรกที่บันทึกไว้ว่า "ปัสสาวะของคนเบาหวานช่างหวานเจี๊ยบราวกับใส่น้ำผึ้งหรือน้ำตาลเอาไว้" ต่อจากนั้นอีก 250 ปี ฮาเวน อีเมอร์สัน มหาวิทยาลัยโคลัมเบียก็ตั้งข้อสังเกตว่ามีผู้ตายมากขึ้นทุกทีนับจากปี ค.ศ.1900 ถึง ค.ศ.1920 ที่พบว่ามีสาเหตุสัมพันธ์กับการกินหวาน

ครั้นถึงปี ค.ศ.1960 นักโภชนาการชาวอังกฤษชื่อ จอห์น ยุดกิน ก็ได้ทำการทดลองทั้งในสัตว์และในคนซึ่งแสดงให้เห็นว่าสัตว์หรือคนที่กินอาหารที่มีน้ำตาลมากจะนำไปสู่การมีไขมันและอินซูลินในเลือดสูง

อย่างไรก็ตาม ข้อสังเกตของยุดกินก็ถูกกลบด้วยเสียงโพนทะนาของนักวิทยาศาสตร์คนอื่นๆ ที่ต่างก็กล่าวโทษสารคอเลสเตอรอลที่ได้มาจากไขมันอิ่มตัวในอาหารว่าเป็นสาหตุของโรคอ้วนและโรคหัวใจที่มีอัตราสูงขึ้น

ผลก็คือไขมันถูกลดทอนลงให้เหลือนิดเดียวในอาหารของคนอเมริกันเมื่อเทียบกับ 20 ปีก่อน

แต่กระนั้นก็ตามสถิติของผู้ป่วยเป็นโรคอ้วนแทนที่จะลดลงก็กลับถีบตัวสูงขึ้นอย่างไม่หยุดยั้ง "สาเหตุสำคัญก็มาจากน้ำตาลนั่นเอง" นพ.จอห์นสันกล่าว

"โดยเฉพาะน้ำตาลฟรุกโตส (หรือน้ำตาลผลไม้)"

นํ้าตาลซูโครส คือน้ำตาลที่วางอยู่บนในพวงเครื่องปรุงอาหารของเรา มันประกอบด้วยโมเลกุลของน้ำตาล 2 โมเลกุล หนึ่งคือกลูโคส อีกหนึ่งคือ ฟรุกโตสซึ่งก็คือน้ำตาลธรรมชาติที่เจอในผลไม้

ความรู้ประการหนึ่งที่ผู้คนทั่วไปมักจะไม่ได้ใส่ใจก็คือ เมื่อกินน้ำตาลซูโครสจากกระปุกน้ำตาลบนโต๊ะอาหาร จากเครื่องดื่มหวานๆ ไม่ว่าจะเป็นน้ำหวานผสมโซดา น้ำอัดลม หรือลูกอม กระทั่งความหวานจากผลไม้ น้ำตาลซูโครสที่กินเข้าไปจะแตกตัวเป็นกลูโคส+ฟรุกโตส น้ำตาลกลูโคสจะถูกใช้ไปอย่างง่ายดายโดยเซลล์ทั่วร่างกาย แต่น้ำตาลฟรุกโตสที่ตกค้างอยู่จะมีอวัยวะเดียวที่จะหมุนใช้มันได้คือ ตับ

ด้วยเหตุนี้เมื่อใดที่เรากินหวานๆ เข้าไปมาก ฟรุกโตสเมื่อถูกลำเลียงมาตามกระแสเลือดจนถึงตับ ตับก็จะสลายฟรุกโตสแล้วสร้างขึ้นมาเป็นไตรกลีเซอไรด์ ไตรกลีเซอไรด์ที่มีมากขึ้นส่วนหนึ่งจะถูกส่งเข้ากระแสเลือดโดยตับจะสร้างรถบรรทุกขึ้นมา คือไลโปโปรตีนนั่นเอง โครงสร้างของไลโปโปรตีนนั้นประกอบด้วยโปรตีนกับคอเลสเตอรอล เป็นเหตุให้คอเลสเตอรอลสูง

ไลโปโปรตีนที่ถูกสร้างขึ้นจะลำเลียงไตรกลีเซอไรด์ไปตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย เซลล์ตามอวัยวะต่างๆ เอาไปใช้

แต่ถ้ามีเหลืออีกก็จะลำเลียงไปเก็บซุกไว้ใต้ผิวหนัง เป็นสาเหตุของความอ้วน

ส่วนไตรกลีเซอไรด์อีกส่วนหนึ่งจะตกค้างอยู่ในตับ สะสมอยู่ในเซลล์ กลายเป็นภาวะไขมันพอกตับในที่สุด

ไขมันที่ล่องเลยอยู่ในกระแสเลือดจะเกิดการสะสมอยู่ในหลอดเลือด เป็นเหตุให้หลอดเลือดแข็งตัว เกิดโรคความดันเลือดสูง และโรคหัวใจ อัมพาตตามมา

ในอีกด้านหนึ่ง น้ำตาลที่เข้าสู่กระแสเลือดจะไปกระตุ้นตับอ่อนให้หลั่งอินซูลิน อินซูลินออกมาบ่อยๆ นานๆ เข้าเซลล์ก็จะเกิดอาการดื้อด้านต่ออินซูลิน กลายเป็นเบาหวานนั่นเอง

ถึงตอนนี้แหละคนคนนั้นก็จะตกเข้าสู่ภาวะของกลุ่มโรคเผาผลาญผิดปกติ (metabolic syndrome)

อันเป็น "ชามรวมมิตร" ของความผิดปกติทั้งหลายแหล่ ได้แก่ อ้วน น้ำตาลเลือดสูง อินซูลินในเลือดสูง แต่เซลล์ดื้อต่ออินซูลิน มีเบาหวาน ความดันเลือดสูง แถมด้วยไตรกลีเซอไรด์สูง HDL ต่ำ และ LDL ชนิดเม็ดเล็ก (ซึ่งเป็นไขมันที่ดี) ต่ำอีกด้วย ซึ่งบางทีเราเรียกว่าซินโดรมเอ็กซ์ (Syndrome X)

ผมขอเรียกว่า "โรครวมมิตร" น่าจะเหมาะ

สถาบันสุขภาพแห่งชาติอเมริกาประกาศว่า ทุกวันนี้คนอเมริกันผู้ใหญ่กว่า 1 ใน 3 กำลังป่วยด้วยโรครวมมิตรกลุ่มนี้

เมื่อไม่นานมานี้สมาคมโรคหัวใจแห่งสหรัฐอเมริกาได้ประกาศคำเตือนแล้วว่า ให้ลดปริมาณน้ำตาลที่ใส่ลงในอาหาร แต่เหตุผลเพียงระบุว่า "เพราะน้ำตาลไปเพิ่มแคลอรี โดยไม่ได้ให้ประโยชน์ใดๆ อย่างอื่น"

แต่เหตุผลของสถาบันสุขภาพฯ นี้สำหรับ นพ.จอห์นสัน แล้ว ถือว่าเป็นการประกาศที่พลาดเป้าหมาย "เพราะน้ำตาลไม่แต่เพียงเป็นแคลอรีเปล่าเปลือง แต่สำคัญกว่านั้นก็คือ...มันเป็นพิษ"

เช่นเดียวกับ โรเบิร์ต ลัสติง ผู้เชี่ยวชาญด้านวิทยาการต่อมไร้ท่อ เขากล่าวว่า "มันไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องแคลอรีเกินสักกะหน่อย เหตุผลที่สำคัญก็คือ น้ำตาลคือสารพิษ ถ้ากินมากเกินไป"

นพ.จอห์นสันให้ข้อสรุปการเจ็บป่วยของคนอเมริกันว่า คนอเมริกันกันกินมากและออกกำลังกายน้อย เหตุผลที่กินมากและออกกำลังกายน้อยก็เพราะว่าพวกเขาเสพติดความหวาน มันไม่แต่เพียงทำให้พวกเขาอ้วนขึ้น แต่ทันทีที่พวกเขากินโด๊สแรกของความหวาน มันก็จะดูดกลืนเรี่ยวแรงออกไปจากตัวเขาทันที ทำให้พวกเขาอ่อนปวกเปียกลงไปนอนกองที่เก้าอี้ การที่คนอ้วนชอบดูโทรทัศน์นั้น ไม่ใช่เพราะโทรทัศน์ดูแล้วสนุกหรอก แต่เป็นเพราะพวกเขาหมดเรี่ยวหมดแรงเกินกว่าที่จะลุกขึ้นมาออกกำลังกายได้

"หมดเรี่ยวแรงเพราะการกินหวานนั่นเอง"

ทางออกก็คือ ตัดการกินหวานซะทันที

เมื่อหยุดกินหวาน โรคต่างๆ ที่ป่วยอยู่ก็จะดีขึ้น เพราะน้ำตาลในเลือดลดลง ไตรกลีเซอไรด์ถูกใช้ไป ทำให้หายอ้วน คอเลสเตอรอลลดลง หลอดเลือดสะอาดขึ้น ความดันลดลง หัวใจปลอดโปร่ง สมองแจ่มใส เรี่ยวแรงจะคืนกลับมา

แต่ปัญหามีว่าทุกวันนี้เราช่างหลีกเลี่ยงความหวานได้ยากเสียเหลือเกิน เพราะเราเคยตกอยู่ในโลกของความกลัวไขมัน อุตสาหกรรมอาหารจึงเอาความหวานมาเสนอขายแทนความมัน ไม่เชื่อหันไปมองดูสิ บรรดาอาหารที่ว่าไขมันต่ำก็ล้วนออกรสหวานๆ ทั้งนั้น

นั่นเป็นเรื่องของชาวอเมริกัน แต่ถ้าเป็นคนไทยแล้ว ความหวานที่เรานิยมกินกันและหลงเชื่อว่าดี ก็คือผลไม้ เรากินผลไม้และน้ำผลไม้อย่างไม่บันยะบันยัง

แถมหลงว่าเป็นอาหารสุขภาพเสียด้วย ทั้งที่มันทำให้เราป่วยด้วยโรครวมมิตรพอๆ กับที่ฝรั่งหลงกินของหวานกัน

เรื่องจริงจึงมีว่า ผลไม้-แม้แต่แอปเปิ้ลก็มีผลให้เราอ้วนตายได้!!!

เรื่องเศร้าจึงมีว่า ทุกวันนี้เรากำลังมุ่งหน้าสู่การป่วยตาย ทั้งๆ ที่เรายอมอดอาหารที่แสนอร่อยอย่าง หมูหัน ไก่ตอนและลดทอนไข่แดง โดยต้องทนกินของไม่อร่อยที่หวานแสบไส้

สุดท้ายอาหารที่ต้องทนกินนี้กลับทำให้เราตายเร็วลงซะฉิบ!!

...........


(ที่มา:มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 22-28 สิงหาคม 2557

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook