ปรับเกณฑ์กู้กยศ.ปี58 เกรดเฉลี่ยไม่น้อยกว่า2.00-ทำกิจกรรมอาสา

ปรับเกณฑ์กู้กยศ.ปี58 เกรดเฉลี่ยไม่น้อยกว่า2.00-ทำกิจกรรมอาสา

ปรับเกณฑ์กู้กยศ.ปี58 เกรดเฉลี่ยไม่น้อยกว่า2.00-ทำกิจกรรมอาสา
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

วันที่ 2 กันยายน นางสุทธศรี วงษ์สมาน ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ(ศธ.) เปิดเผยว่าจากการประชุมคณะกรรมการกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษาหรือกยศ.เมื่อเร็วๆ นี้ได้มีมติเห็นชอบการปรับหลักเกณฑ์กยศ.ตามนโยบายของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)ที่เน้นว่าการปล่อยกู้กยศ.ต้องกู้ให้ยากจ่ายคืนง่าย ซึ่งหลักเกณฑ์ใหม่ประกอบด้วย

1.การคัดกรองสถานศึกษา ที่จะจัดสรรเงินกยศ.ให้นักเรียนกู้ในระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ประกาศนียบัตรวิชาชีพ(ปวช.) ประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง(ปวส.) ประกาศนียบัตรวิชาชีพเทคนิค(ปวท.) ต้องเปิดการเรียนการสอนมาแล้วอย่างน้อย 1 ปีการศึกษา มีผลการรับรองคุณภาพจากสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพศึกษา(สมศ.)และต้องมีโครงการที่มุ่งจิตอาสาที่มีประโยชน์ต่อสังคมและประเทศส่วนระดับอนุปริญญาตรีและปริญญาตรีนอกจากจะต้องเปิดสอนมาอย่างน้อย 1 ปีการศึกษาและมีโครงการที่มุ่งจิตอาสาฯ แล้วหลักสูตรที่เปิดสอนต้องได้รับความเห็นชอบจากสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา(สกอ.) ผ่านการประเมินของสกอ.ตลอดจนมีผลการรับรองจากสมศ.ด้วย

2.การคัดกรองผู้กู้ยืมเงินในระดับมัธยมศึกษาตอนปลายผู้ที่จะยื่นกู้จะต้องมีผลการเรียนเฉลี่ยสะสมระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นไม่น้อยกว่า2.00 ระดับปวช. ปวท.และปวส.ไม่มีการกำหนดเงื่อนไขดังกล่าวเพราะต้องการส่งเสริมให้มีการเรียนสายอาชีพมากขึ้น ส่วนระดับอนุปริญญา/ปริญญาตรีต้องมีผลการเรียนเฉลี่ยสะสมระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายไม่น้อยกว่า 2.00 รวมทั้งต้องมีหลักฐานแสดงถึงการเข้าร่วมโครงการจิตอาสาด้วย

นอกจากนี้ผู้กู้รายเก่าที่จะเลื่อนชั้นปีหากจะกู้ต่อได้ต้องมีผลการเรียนเฉลี่ยไม่น้อยกว่า2.00 เช่นกันทุกภาคเรียน และยังต้องมีหลักฐานการเข้าร่วมโครงการจิตอาสาอย่างน้อย 1 กิจกรรมต่อภาคการศึกษา โดยต้องเข้าร่วมโครงการจิตอาสาไม่น้อยกว่า 18 ชั่วโมงต่อ 1 ภาคการศึกษา อย่างไรก็ตามที่ผ่านมาในส่วนของผู้ที่กู้ยืมนั้นจะดูเฉพาะเรื่องรายได้เท่านั้นแต่ส่วนอื่นไม่ได้กำหนดไว้ เช่น เรื่องผลการเรียนเฉลี่ยสะสม เป็นต้น

"ที่ประชุมยังได้เห็นชอบหลักเกณฑ์สัดส่วนวงเงินให้กู้ยืมแก่สถานศึกษา ไว้ 4 ส่วน อาทิ กำหนดสัดส่วนจำนวนผู้กู้ที่มาชำระหนี้คืนไว้ 40%ซึ่งต่อไปหากสถานศึกษาใดมีการค้างชำระหนี้ของผู้กู้มากจะได้รับจัดสรรวงเงินให้กู้ยืมน้อยลงด้วย อีกทั้งยังได้กำหนดสัดส่วนจำนวนผู้กู้ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ต่อสายอาชีพไว้ในสัดส่วน 50: 50 และระดับอนุปริญญา/ปริญญาตรีสายวิทยาศาสตร์ต่อสายสังคมในสัดส่วน 50: 50 เช่นเดียวกัน"

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook