ฟันธงโดยคนไทย ! 10 เหตุผลที่ควรไปเรียน"อินเดีย" อ่านแล้วฟินเลย...

ฟันธงโดยคนไทย ! 10 เหตุผลที่ควรไปเรียน"อินเดีย" อ่านแล้วฟินเลย...

ฟันธงโดยคนไทย ! 10 เหตุผลที่ควรไปเรียน"อินเดีย" อ่านแล้วฟินเลย...
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

โดย ปิยณัฐ สร้อยคำ

ตอนเรียนจบป.ตรีใหม่ๆ แม้จะลังเลสงสัย แต่อะไรก็ไม่รู้ ดลใจให้เลือกไปเรียนต่อ ป.โท ที่อินเดีย ... จากวันนั้น จนถึงวันนี้ ก็ยังดีใจและภูมิใจที่ได้เป็นศิษย์เก่าดินแดนภารตะ ...มาพบกับเหตุผลที่ควรไปเรียนอินเดีย 10 ข้อดีกว่าครับ


1. การเรียนการสอนได้มาตรฐานแบบอินเดียและได้รับการยอมรับในระดับโลก

อินเดียถือเป็นแหล่งกำเนิดของการศึกษาขั้นสูงในระดับโลก นาลันทาศูนย์การศึกษาทางพระพุทธศาสนาก่อตั้งก่อนที่มหาวิทยาลัยออกฟอร์ดและเคมบริดจ์จะเริ่มต้น นอกจากนี้การศึกษาแบบอินเดียยังได้รับอิทธิพลจากอังกฤษและผสมผสานปรัชญาดั้งเดิมทั้งแบบฮินดู พุทธ มุสลิมและแบบเปอร์เซียเข้าไว้ด้วยกัน โดยถูกถ่ายทอดจากอาจารย์ผ่านความเป็น "กูรู" จึงไม่แปลกนักที่ศิษย์เก่าต่างชาติอินเดียจำนวนมากจะได้รับการยอมรับ อาทิ อองซาน ซูจี (ผู้นำประชาธิปไตยของพม่า จบด้านรัฐศาสตร์จากเดลี) H.E. Le Luong Minh (เลขาธิการอาเซียนคนปัจจุบันชาวเวียดนาม จบโทจาก JNU) เป็นต้น รวมถึงนักเรียนจากมหาวิทยาลัยในอินเดีย ต่างได้รับการตอบรับเข้าศึกษาต่อในระดับที่สูงขึ้นจากมหาวิทยาลัยหลายแห่งทั่วโลก .. นอกจากนี้ ศาสตราจารย์ชาวอินเดียหลายท่านยังได้รับการยอมรับในระดับโลก เช่น Partha Chatterjee จากมหาวิทยาลัยกัลกัตตา ซี่งเป็นนักวิชาการแนวหน้าด้าน Subaltern Studies เป็นต้น ..... และสุดท้ายเรียนจบจากอินเดียแล้ว ไม่เหงาชัวร์ เพราะ จำนวนบัณฑิตที่สำเร็จการศึกษาจากอินเดียมากที่สุดเป็นอันดับ 3 ของโลก คิดเป็นร้อยละ 11 รองเพียงจีนและอเมริกาเท่านั้น ..หรือกล่าวได้ว่า ในโลกนี้เมื่อมีคนเดินมา 10 คน ต้องมี 1 คนจบจากอินเดียแน่นอน

2. การเรียนการสอนใช้ภาษาอังกฤษ

ในการศึกษาขั้นพื้นฐาน บางโรงเรียนอาจยังใช้ภาษาถิ่น แต่ในระดับอุดมศึกษาจะพบว่าการเรียนการสอน หนังสือตำรา การทำรายงานการสอบ รวมถึงการบรรยายจะใช้ภาษาอังกฤษแทบทั้งสิ้น นอกจากนี้ภาษาอังกฤษแบบอินเดียยังมีความงดงามที่เป็นเอกลักษณ์และการใช้ภาษาที่ปราณีต เนื่องจากได้รับอิทธิพลจากรูปแบบภาษาสันสกฤต.. นอกจากนี้หนังสือ วารสาร หนังสือพิมพ์ และสื่อการเรียนที่ตีพิมพ์เป็นภาษาอังกฤษมีราคาถูกมาก หนังสือพิมพ์ราคาเพียง 1.5 บาท ให้ได้ฝึกอ่านฝึกเขียน ..รวมถึงหนังสือจากต่างประเทศที่ตีพิมพ์ในอินเดียจะราคาถูกลงกว่า 1 ใน 4 เนื่องจากอินเดียได้รับสิทธิ์พิมพ์หนังสือในราคาถูก...เช่นหนังสือเรื่อง World Politics ที่คิโนะราคาประมาณ 1200 บาท ที่อินเดียแค่ 300 บาทเท่านั้น .... ทั้งนี้การสั่อซื้อหนังสือเหล่านี้ก็แสนสบายคลิ๊กเดียว ส่งถึงบ้าน ด้วยบริการ Cash on delivery เช่นเว็บไซต์ flipkart เป็นต้น

3. ค่าเล่าเรียนถูกกว่าเมืองไทย

ค่าเล่าเรียนที่อินเดียราคาถูกเป็นอย่างยิ่ง ป.ตรีประมาณ 10,000-15,000 บาท ต่อปี ป.โทประมาณ 2-30,000 บาทต่อปี ป.เอก ประมาณ 80,000 บาทต่อปี ทั้งนี้แล้วแต่หลักสูตร (อันนี้อิงเรทจากมหาวิทยาลัยที่ผมเคยเรียนนะครับ ซี่งราคานี้จะสูงกว่ามหาวิทยาลัยอื่นๆของอินเดียพอสมควร มหาวิทยาลัยอื่นๆ น่าจะถูกกว่านี้เยอะครับ) ซี่งถ้าเทียบค่าเล่าเรียนเป็นภาษาอังกฤษที่อินเดียแล้วถือว่า ถูกกว่าเรียนที่ไทยหลักสูตรภาษาไทย ประมาณ 2-3 เท่าและถูกกว่าที่ไทยหลักสูตรอินเตอร์หลายเท่าเลยทีเดียว

4. ค่าครองชีพถูกกว่าเมืองไทย

อันนี้แน่นอนอยู่แล้วครับ ค่าเงินอินเดียถูกกว่าของไทยเกือบเท่าตัว ประมาณ 5,300 บาทที่ไทย เท่ากับอินเดีย 10,000 รูปี ..ลองมาดูสัดส่วนค่าใช้จ่ายที่ผมเคยใช้ดูนะครับ .. ค่าห้องเช่า ผมเช่าเดือนละ 3,000 รูปี อันนี้มีห้องน้ำในตัว ห้องนอน ห้องครัว ห้องนั่งเล่น รวมอินเตอร์เน็ตค่าไฟเรียบร้อยนะครับ .... ส่วนค่ากินอยู่ก็ไม่แพง อาหารมื้อหนึ่งก็ประมาณ 60-100 รูปี ถ้าออกไปกินร้านข้างนอก ก็ตั้งแต่ 30-50 บาท อันนี้เรียกว่าอิ่มห่อกลับบ้านได้กินอีกมื้อ ถ้ากินข้างนอกทุกวันทุกมื้อก็ 60X30X3 ประมาณ 5,400 รูปี รวมละ 8,400 รูปี เหลืออีกประมาณ 1,600 รูปีเอาไว้ชอปปิ้ง... แต่ถ้าอยากประหยัด ทำกับข้าวเอง รับรองว่าถูกถึงใจมาก ไก่กิโลละ 30-40 บาท หมูกิโลละ 60 บาท เนื้อวัวกิโลละ 90 บาท ถูกกว่าไทยเท่าตัว ส่วนพวกผักต่างๆ เหมามาหมดตลาดก็กำละ 3-4 บาทเท่านั้นแหละครับ ......ถ้าชอบกินชาอินเดีย ก็ 2 บาทก็ได้ชาแก้วโตๆ ไว้จิบแล้วครับ ...อันนี้คือใช้ชีวิตแบบนักศึกษาไม่ได้ฟุ้งเฟ้ออะไร ประมาณ 6,000 บาทก็มีที่นอน มีอาหารครบทุกมื้อ มีอินเตอร์เน็ตเล่น การใช้ชีวิตนักศึกษาแค่นี้ก็คงเพียงพอแล้วครับ .. ลองคิดดูว่า 6000 บาททุกวันนี้ที่ไทย แค่ค่าเช่าหอก็หมดแล้วครับผม


5. พบเจอกับเพื่อนใหม่จากดินแดนที่คาดไม่ถึง

หลายคนอาจจะคิดว่า มาเรียนอินเดียอาจจะได้แค่เพื่อนอินเดียอย่างเดียว แต่เปล่าเลยครับ มีนักศึกษาจาก 135 ประเทศทั่วโลกที่ได้รับทุนรัฐบาลอินเดียมาเรียน โดยเฉพาะจะได้เจอกับเพื่อนจากประเทศที่ชื่อไม่คุ้นหู ทั้งจากเอเชียกลาง ตะวันออกกลาง แอฟฟริกา และแถบทะเลคาริเบียน รวมถึงอเมริกาใต้ และยุโรปตะวันออก เช่น อิรัก อิหร่าน คาซัคสถาน อุซเบกิสถาน มองโกเลีย นามิเบีย เอธิโอเปีย มาดากัสการ์ เซาท์ซูดาน มอริเชียส เป็นต้น การมีเพื่อนจากดินแดนที่หลากหลายเช่นนี้ช่วยเปิดโลกทัศน์ของเราได้มากทีเดียวครับ ไม่แน่ในอนาคตความสัมพันธ์จากเพื่อนๆเหล่านี้ อาจพัฒนาเป็นความร่วมมือทางการค้าและการลงทุนระหว่างกันก็ได้นะครับ

6. เรียนรู้ความงดงามประวัติศาสตร์ อารยธรรม และความหลากหลายของสังคมพหุวัฒนธรรม

เรื่องนี้คงไม่ต้องขยายความมาก อินเดียเป็นแหล่งอารยธรรมที่สำคัญและเก่าแก่ มีโบราณสถานโบราณวัตถุให้ศึกษามากมาย สถาปัตยกรรมหลายแห่งทรงคุณค่าและได้รับการยอมรับเป็นมรดกโลก เช่นทัชมาฮาล ถ้ำอจันตาอัลโรล่า เป็นต้น นอกจากนี้อินเดียยังเป็นสังคมที่ผู้คนมีความแตกต่างหลากหลายทางชาติพันธุ์ เพียงแค่คุณเดินทางข้ามรัฐ หรือแม้กระทั่งข้ามเมืองด้วยระยะทางเพียง 50 กิโลเมตร คุณอาจจะพบกับกลุ่มชาติพันธุ์ใหม่ ที่มีภาษา วัฒนธรรม การแต่งกาย การกินอาหาร ที่แตกต่างจากที่ที่คุณพึ่งไปเยือน ..หรือคุณอาจจะสังเกตุได้จากสีและวิธีการแต่งสาหรี่ ผู้หญิงอินเดียในแต่ละรัฐ แต่ละท้องถิ่น ก็มีวิธีการแต่งสาหรี่ที่ต่างกันออกไป ... แค่ไปเยือนอินเดียประเทศเดียว คุณจะได้พบกับกลุ่มคนไม่ต่ำกว่า 740 วัฒนธรรม ราวกับไปเยือนกว่า 740 ประเทศเลยทีเดียว

7. ได้ซึมซับและเรียนรู้ภาษาท้องถิ่นเป็นกำไรชีวิต

ความหลากหลายของผู้คนดังกล่าว ทำให้อินเดียมีภาษาถิ่นเป็นจำนวนมาก นอกจากใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสารในห้องเรียนและการติดต่อราชการแล้ว การไปเรียนอินเดียยังเปิดโอกาสให้เราได้เรียนรู้ภาษาแปลกใหม่ ไว้ทักทาย ไว้เป็นความรู้ติดตัว และเป็นกำไรของชีวิต รัฐที่ผมไปอยู่พูดภาษาเตลูกูครับ .. ภาษาเตลูกูมีคนพูดประมาณ 80 ล้านคนในอินเดีย (ใหญ่กว่าประเทศไทยทั้งประเทศ) ที่สำคัญชาวอินเดียที่ใช้ภาษาเตลูกูเป็นประชากรอินเดียพลัดถิ่นกลุ่มที่ใหญ่ที่สุดที่อาศัยในประเทศสหรัฐอเมริกา..นอกจากนี้ยังมีภาษาอื่นๆตามแต่ละรัฐที่ไปเรียนรัฐทมิฬนาฑูก็ใช้ภาษาทมิฬ...รัฐกัลกัตตาใช้ภาษาเบงกาลี ... รัฐปัญจาบ ใช้ภาษาปัญจาบี ... รัฐกรณาฏกะ ใช้ภาษากานาด้า เป็นต้น ..และเชื่อไหมครับว่าแต่ละภาษามีอุตสาหกรรมหนังเป็นของตนเอง ภาษาฮินดี มีอุตสาหกรรมภาพยนตร์บอลลีวู้ด (ที่แอน มิตรชัยไปแสดง) ภาษาเตลูกู มีอุตสาหกรรมตอลลีวูด ที่เมืองถ่ายภาพยนตร์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก (ที่พิงค์กี้สาวิกาไปแสดงนั่นเอง) .... นอกจากนี้ยังมีมอลลีวูด หรืออุตสาหกรรมหนังที่ใช้ภาษามาลายารัม ในรัฐเกราละอีกด้วย

8. ท่องเที่ยวและดื่มด่ำกับธรรมชาติไม่ซ้ำรูปแบบ

อินเดียเป็นประเทศที่ร่ำรวยทางทรัพยากรท่องเที่ยวทางธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ถ้าคุณอยากชมหิมะและทิวเขาสวยงามสุดลูกหูลูกตา ลองขึ้นเหนือไปชมเทือกเขาหิมาลัยพร้อมกับนอนบนเรือแพในทะเลสาปแห่งแคชเมียร์ดูก็ได้นะครับ แต่ถ้าชอบทองเที่ยวแนวทะเลทราย ปราสาทกลางทะเลทรายแล้ว ราชาสถานและทะเลทรายธาร์ก็เป็นอีกหนี่งคำตอบที่พาคุณไปขี่อูฐชมพระอาทิตย์ตก ตามแนวชายแดนอินเดียปากีสถาน .. หรือถ้าคุณชอบแนววิถีชีวิตริมสายน้ำดูวิธีชีวิตผู้คน ลองไปที่พาราณศรี ดูพิธีกรรมและความงดงามของการใช้ชีวิตที่ริมฝั่งแม่น้ำคงคาก็โรแมนติกไม่เบา

ส่วนถ้าใครที่ชอบริมทะเลอาหรับ กลิ่นอายอาหารแบบคอนติเนนทัล บวกกับสถาปัตยกรรมโปรตุเกส ก็แนะนำให้ไปท่องเที่ยวที่โกอา ชายทะเลตะวันตกสุดฮิตของอินเดีย หรือถ้าชอบแบบฝรั่งเศส ก็แนะนำให้ไปที่พอนดิเชอรรี่อาณานิคมฝรั่งเศสแหล่งสุดท้ายในอินเดีย คุณจะดื่มด่ำกับชายทะเล และ Parlez francais อย่างสำราญใจ ... ท้ายที่สุดหลายคนอาจจะชอบ การล่องเรือในแม่น้ำสีดำ ชมป่ามะพร้าว ป่าปาล์มและลิ้มลองอายุรเวท แบบอินเดีย เกราละ ก็เป็นคำตอบที่ทำให้คุณได้ทอดกายฝึกโยคะกลางธรรมชาติ... ข้อนี้เอาไว้สำหรับนักเรียนที่ต้องการพักผ่อนหลังจากคร่ำเครียดกับการเรียนนะครับ

9. ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

อินเดียถือเป็นศูนย์กลางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและวิทยาการคอมพิวเตอร์อันดับต้นของโลกไฮเดอราบาดหรืออีกชี่อคือCyberabadถูกขนามนามให้เป็นซิลลิคอนวัลเลย์ของเอเชียเมืองบังกาลอว์เป็นแหล่งผลิตโปรแกรมเมอร์มือฉมังของโลก นอกจากนี้อินเดียสามารถส่งกระสวยอวกาศไปยังดาวอังคารได้เป็นผลสำเร็จ รวมถึงมีขีปนาวุธอัคนีที่มีพิสัยไกลถึง 5,000 กิโลเมตร เล็งไปที่จีนก็สามารถยิงไปยังทุกเมืองใหญ่ของจีน ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ของอินเดียนี้ ย่อมเป็นแหล่งเรียนรู้ชั้นดีสำหรับนักเรียนสายวิทยาศาสตร์

10. อินเดียมีโอกาสเป็นหนี่งในมหาอำนาจของโลกในอนาคตอันใกล้

ด้วยจำนวนประชากรที่คาดว่าจะมากที่สุดในโลกในอนาคต ด้วยขนาดเศรษฐกิจที่เติบโตเพิ่มมากขึ้น ด้วยการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ผ่านหลากหลายโครงการ ด้วยเครือข่ายชาวอินเดียพลัดถิ่นที่กระจายตัวเพื่อสร้างงาน สร้างรายได้ และสร้างความสัมพันธ์ระหว่างกันทั่วโลก จึงไม่แปลกนักที่ในอนาคตอันใกล้ อินเดียจะกลายเป็นหนี่งในมหาอำนาจที่น่าจับตามอง แม้ว่าอินเดียอาจจะไม่ได้ขึ้นทะยานสู่การเป็นมหาอำนาจอันดับหนี่ง ..แต่ อิทธิพลและบทบาทของอินเดียที่เพิ่มมากขึ้น ก็เป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม ......

ประมาณปลายเดือนธันวาคมถึงต้นเดือนมกราคมที่จะถึงนี้ รัฐบาลอินเดียจะมอบทุนการศึกษาให้กับนักเรียนไทยดังเช่นทุกปี ปีละประมาณ 15-20 ทุนการศึกษา ถ้าหากอยากลองสัมผัสประสบการณ์ใหม่ที่หาจากที่ไหนไม่ได้.... ผมขอแนะนำให้ไปเรียนต่ออินเดียนะครับ แล้วคุณจะหลงรัก ‘The incredible India'


*หมายเหตุ


ผู้เขียนจบปริญญาตรีจากคณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ
อดีตนักเรียนทุนรัฐบาลอินเดีย ณ เมืองไฮเดอราบาด สาธารณรัฐอินเดีย
ปัจจุบัน นักศึกษาปริญญาเอกด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ (นโยบายการต่างประเทศอินเดีย) ณ มหาวิทยาลัยเซนต์แอนดรูวส์ สหราชอาณาจักร

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook