Think Beyond "เปลี่ยนวิธีคิด" แก้การศึกษาไทย

Think Beyond "เปลี่ยนวิธีคิด" แก้การศึกษาไทย

Think Beyond "เปลี่ยนวิธีคิด" แก้การศึกษาไทย
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ต้องยอมรับว่าระบบการศึกษาไทยทุกวันนี้ยังก้าวตามหลังเทคโนโลยี เศรษฐกิจ และการเมืองหลายสิบปี ส่งผลให้เด็กไทยเกิดช่องว่างในการพัฒนาทางการศึกษากว่าประเทศอื่น ๆ ทั้งยังส่งผลกระทบต่อระบบความคิด วิเคราะห์ในการวางแผนและต่อยอดศักยภาพระยะยาวของเด็กไทย

ประเด็นดังกล่าวเป็นการเปิดมุมคิดจาก "น.พ.ธรรมศักดิ์ เอื้ออภิธร" ผู้จัดการทั่วไปโรงเรียนสอนภาษาอังกฤษเอ็นคอนเส็ปท์ ผ่านการสะท้อนประเด็นปัญหาสำคัญของระบบการศึกษาไทย โดยวิเคราะห์จากงบประมาณการศึกษาไทยที่มีสัดส่วนถึง 20.5% ของงบประมาณประเทศ ซึ่งถือเป็นจำนวนที่มากเป็นอันดับ 2 ของอาเซียน แต่ทำไมผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาไทยจึงรั้งท้ายในอาเซียน

"น.พ.ธรรมศักดิ์" บอกว่า สิ่งหนึ่งที่กำลังเป็นปัญหาขณะนี้คือ คะแนนเฉลี่ยโอเน็ตของเด็กไทยน้อยมาก เช่น คณิตศาสตร์ 20.48% ภาษาอังกฤษ 25.35% และวิทยาศาสตร์ 33.02% จากคะแนนเต็ม 100 คะแนน และยังมีการคาดการณ์ว่าบัณฑิตจบใหม่ 4.5 แสนคนในปีนี้จะตกงานถึง 1.5 แสนคน ขณะเดียวกัน ยังมีเด็กไทยส่วนหนึ่งสามารถคว้าเหรียญจากโอลิมปิกวิชาการปีล่าสุดเป็นอันดับต้น ๆ ของอาเซียน ที่เป็นเช่นนี้เพราะการศึกษาไทยเกิดปรากฏการณ์ที่เรียกว่าเก่งกระจุกโง่กระจาย

"ทั้งมวลคือจุดประสงค์ของการจัดตั้งโครงการ Think Beyond ประจำปี 2558 ซึ่งจัดต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 โดยเชิญชวนนักเรียนและผู้ปกครองร่วมคิดข้ามชอต วางแผนอนาคตทางการศึกษาให้เด็กไทยประสบความสำเร็จ ภายใต้แนวคิด Visible Love, Visible Learning ในความหมายที่ว่าจะทำอย่างไรให้เด็กไทยประสบความสำเร็จและมีความสุขไปพร้อม ๆ กัน เพราะเราไม่ต้องการให้เด็กไทยเรียนเก่งเพียงอย่างเดียว แต่เราต้องการให้น้อง ๆ สามารถพลิกความคิด พัฒนาชีวิต และเข้าถึงศักยภาพสูงสุดของตัวเอง"

"นอกจากระบบการศึกษาไทยจะต้องพัฒนาแล้ว เรายังต้องพัฒนาให้เด็กไทยรู้จักคิด วางแผน กล้าที่จะฝัน มีเป้าหมายให้กับชีวิตของตนเองทั้งระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว เพื่อสร้างแรงผลักดันในการเรียนรู้ให้กับตนเอง ขณะเดียวกัน ต้องมีวินัยพร้อมรับผิดชอบความฝันของตนเองให้ประสบความสำเร็จด้วย"

โดยอาศัยพลังจาก Visible Love, Visible Learning ทั้ง 4 มิติประกอบด้วย

หนึ่ง Visible Love : The Power of Motherhood พลังของ "แม่" คือเบื้องหลังความสำเร็จ

โดยทำหน้าที่เป็นเสมือนโค้ชที่ดีให้กับลูกในทุกช่วงพัฒนาการเรียนรู้ โดยแบ่งเป็น4 ระยะ แต่ละระยะจะต้องใช้เทคนิคการพูดคุยที่แตกต่างกัน ดังนี้

ระยะก้าวเดินช่วงอายุ 3-6 ปี หรือช่วงเริ่มต้นในการเรียนรู้ ดังนั้น คุณพ่อคุณแม่ควรชื่นชมเพื่อเสริมสร้างพลังทางบวกให้ลูกรู้สึกว่าแค่ลงมือทำก็สำเร็จแล้ว เช่น ทุ่มเทฝึกภาษาอังกฤษโดยการย้ายบ้านให้ใกล้โรงเรียนที่อยากให้ลูกสอบเข้ามากยิ่งขึ้น หรือแม้กระทั่งเปิดเพลงภาษาอังกฤษบนรถทุกครั้งที่เดินทาง

ระยะเริ่มบินช่วงอายุ 7-9 ปี คือช่วงพัฒนาการการเรียนรู้ โดย 20% แรกเป็นช่วงแห่งการทดสอบว่ารู้จริงหรือไม่ ควรให้ลูกได้เจอกับความล้มเหลว และความผิดหวังบ้าง เพื่อป้องกันความประมาท ระยะนี้เอ็นคอนเส็ปท์จะมี Simulations Test ข้อสอบเสมือนจริง เพื่อทดสอบถึงจุดอ่อนจุดแข็งของน้อง ๆ ว่าควรพัฒนาในทิศทางไหน

ที่สำคัญคือเป็นการฝึกให้น้อง ๆ ไม่กลัวกับความผิดหวัง

ระยะโตเร็วช่วงอายุ 10-12 ปี เด็กในช่วงนี้จะมีความเป็นตัวของตัวเอง และต้องการพื้นที่ส่วนตัวที่มากขึ้น ซึ่งระยะนี้อาจเกิดความไม่เข้าใจระหว่างคุณพ่อคุณแม่และน้อง ๆ มากเป็นพิเศษ คุณพ่อคุณแม่ควรให้สัญญา และรักษาสัญญา ผ่านการวางเงื่อนไขต่าง ๆ เพื่อสร้างแรงจูงใจให้กับน้อง ๆ รวมถึงหาต้นแบบ (Role Model) เป็นกระบอกเสียงพูดแทนคุณแม่ในบางครั้ง เพื่อสร้างความท้าทายต่อการพัฒนาขีดความสามารถของลูก

ระยะรักษาระดับ ช่วงอายุ 13-15 ปี โดย 80-100% ในช่วงนี้คุณพ่อคุณแม่ห้ามพูดหรือบ่นในเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ เด็ดขาด และควรติดตามความเป็นไปของลูกผ่านเพื่อน ๆ จากงานวิจัยชิ้นหนึ่งระบุว่า หากคุณพ่อคุณแม่รู้จักเพื่อนของลูกมากกว่า 5 คนขึ้นไป จะทำให้ลูกมีโอกาสประสบความสำเร็จในการเรียนมากกว่า 50%

สอง Visible Love, The Power of Fatherhood พลังของ "พ่อ" ผู้สร้างย่างก้าวแห่งความสำเร็จ

โดยทำหน้าที่สร้างช่องว่างและดึงเราขึ้นไปสู่จุดที่สูงขึ้นในชีวิต เรียกว่า "The Power of Gap" ผ่านวิธีการ ดังนี้

Dream and Challenge สร้างความฝันและความท้าทาย โดยพูดถึงการทำงานของตนเองให้ลูกฟัง กระตุ้นให้ลูกลงมือทำเพื่อสร้างแรงบันดาลใจในการเลือกอาชีพ และประกอบอาชีพอย่างมีความสุขในอนาคต

New Exposure เปิดประสบการณ์ใหม่ ๆ ลูกให้ได้เจอโลกกว้าง เช่น การออกเดินทางไปเที่ยวต่างจังหวัด ไปเจอโลกกว้างจริง ๆ Teach and Talk สอนและคุยกับลูกทุกวัน จากการทดลองในประเทศญี่ปุ่น

พบว่า พ่อแม่ที่คุยกับลูกเกินวันละ 1 ชั่วโมง ทำให้เด็กมีโอกาสสอบติดมหาวิทยาลัยชั้นนำของญี่ปุ่นได้มากกว่า 42%

สาม Visible Learning : The Power of Yourself สร้างพลังสู่การผลักดันตนเอง ดังนี้

จินตนาการถึงความล้มเหลวแล้วเปลี่ยนความกลัวมาเป็นพลังผลักดันในการทำสิ่งที่อยู่ตรงหน้าให้ดีที่สุด เพื่ออนาคตของตัวเราเองและคนที่เรารัก

วางแผนอย่างเป็นระบบ การสอบชิงทุนไปต่างประเทศ หรือการสอบเข้ามหาวิทยาลัยมีเทคนิคคล้ายกัน คือ การวางแผนการอ่านหนังสืออย่างเป็นระบบ และกำหนดเส้นตายในการอ่านหนังสืออย่างชัดเจน รวมถึงการหาสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมกับการอ่านหนังสือของเรา และเริ่มต้นอ่านอย่างมีสติ

รู้จุดอ่อนของตัวเอง สิ่งสำคัญที่สุดคือการทำแบบทดสอบเพื่อดูพัฒนาการ ทั้งก่อนอ่านหนังสือ และหลังอ่านหนังสือ เพื่อนำมาวิเคราะห์ว่ามีพัฒนาการไปในทิศทางใด

สี่ Visible Learning : The Power of School พลังแห่งสังคมส่งเสริมการเรียนรู้

การประกาศความสำเร็จ และวาจาชื่นชมที่ถูกต้อง คือการสร้างพันธสัญญาร่วมกัน และลงมือปฏิบัติได้ โดยคำชื่นชมที่ถูกต้องควรชมจาก 3 ปัจจัย คือ ชมที่ความพยายาม ชมที่วิธีการ และความไม่ย่อท้อซึ่งการชื่นชมในลักษณะนี้จะทำให้เกิดวงจรแห่งความสุข โดยเริ่มจากสัญญา (Promise) สำเร็จ (Successes) วาจาชื่นชม (Praise) ประจักษ์ด้วยตนเอง (Qualia) และการเรียนรู้จากสังคม (Social Learning)

ทั้ง 4 มิติ "น.พ.ธรรมศักดิ์" บอกว่าจะเป็นส่วนช่วยเพิ่มพลังผลักดันให้น้อง ๆ ประสบความสำเร็จทั้งในด้านการศึกษา และการใช้ชีวิตในอนาคต

"สำหรับเอ็นคอนเส็ปท์เราพยายามเป็นส่วนหนึ่งในการแก้ไขปัญหาดังกล่าวผ่านการนำกระบวนการ และเทคโนโลยีการศึกษาระดับโลกมาปรับใช้ในองค์กร ไม่ว่าจะเป็น X-Class ห้องเรียนที่มาพร้อมแท็บเลต และโปรแกรมถามตอบ โดยครูสามารถประเมินผลความเข้าใจของนักเรียนในชั้นเรียนในขณะที่สอนได้ทันที"

"นอกจากนี้ ยังมีระบบการเรียนด้วยตนเอง หรือระบบ Self สามารถเรียนผ่านคอมพิวเตอร์ที่บ้าน สาขา หรือเรียนผ่านแท็บเลต เพื่อให้นักเรียนกลับไปทบทวนบทเรียนได้ตามศักยภาพของตัวเอง และสื่อการเรียนรู้สำหรับ Mobile Applications รวมถึงระบบการโค้ชจากโค้ชมืออาชีพคอยพูดคุยให้คำแนะนำน้อง ๆ ผ่านเครื่องมือต่าง ๆ อย่างใกล้ชิด ล่าสุดยังเปิดชั้นเรียนแบบโมเดลประเทศฟินแลนด์ ต้นแบบการศึกษาของโลกอีกด้วย"

"ทั้งหมดเราหวังเพียงการยกระดับคุณภาพการศึกษาของเด็กไทยในระดับโรงเรียนสอนภาษาอังกฤษ ช่องทางหนึ่งที่จะช่วยส่งเสริมพลังความรักผลักดันสู่ความสุขและความสำเร็จแบบเข้มข้น เข้าใจ เข้าถึง และเติมเต็มทุกช่องว่าง"

ภายใต้ปรัชญาการขับเคลื่อนเอ็นคอนเส็ปท์ที่บอกว่า "English is alive" ภาษามีชีวิต อังกฤษพ้นกรอบ เพื่อความมุ่งมั่นปลูกฝังให้ผู้เรียนมีแนวคิดในการใช้ภาษาอังกฤษอย่างสร้างสรรค์ไร้ขีดจำกัด เพื่อนำไปพัฒนาตนเองและสังคมอย่างมีความสุขต่อไป

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook