"แม่สุจินต์ ลอยชูศักดิ์"วัย60ปี นั่งรถเมล์เรียน ′ป.ตรี′ อีกใบยังไหว!

"แม่สุจินต์ ลอยชูศักดิ์"วัย60ปี นั่งรถเมล์เรียน ′ป.ตรี′ อีกใบยังไหว!

"แม่สุจินต์ ลอยชูศักดิ์"วัย60ปี นั่งรถเมล์เรียน ′ป.ตรี′ อีกใบยังไหว!
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ผู้สูงอายุส่วนใหญ่มักคิดว่าการมีอายุสูงอาจไม่เหมาะกับการเข้าไปศึกษาร่วมกับเด็กๆด้วยวัยที่ต่างกันรวมถึงสุขภาพที่ดูแล้วเป็นรองเด็กวัยรุ่น อาจเป็นอุปสรรคในการเรียนแต่ละครั้ง แต่ที่ผ่านมา หลายคนได้แสดงให้เห็นมาแล้วว่า อายุนั้นเป็นเพียงตัวเลข และไม่เกี่ยวกับการศึกษาแต่อย่างใด

หนึ่งในนั้นคือ "คุณแม่สุจินต์ ลอยชูศักดิ์" วัย 60 ปี แม่ของเจมส์ - เรืองศักดิ์ ลอยชูศักดิ์ ศิลปินนักร้องชื่อดัง ที่กำลังมุ่งมั่นเรียนปริญญาตรีใบที่ 2 คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง ซึ่งก่อนหน้านี้ได้ปริญญาตรีใบแรกจากคณะมนุษยศาสตร์มาแล้ว ล่าสุด ทีมข่าวได้มีโอกาสสัมภาษณ์คุณสุจินต์ ถึงแนวคิดในการเข้าศึกษาในวัยนี้อย่างต่อเนื่อง รวมทั้งทิศทางการศึกษาในอนาคตจะเป็นอย่างไรบ้าง ไปติดตามบทสัมภาษณ์พิเศษของมติชนออนไลน์กัน

ตอนนี้คุณแม่ทำอะไรอยู่บ้าง ?
ตอนนี้หยุดทำธุรกิจค้าขาย เรียนอย่างเดียว อยู่บ้านดูแลบ้าน ทำงานบ้าน เพราะคุณลุงได้เกษียณมา 5ปีแล้ว ก็ช่วยกันทำ 2คน ไม่ได้จ้างแม่บ้าน

ทำไมคุณแม่ถึงเลือกมาศึกษาในช่วงวัยนี้ ?
แม่ก็เรียนต่อเนื่องมาตลอด หลังจากจบมัธยมปลายที่ กศน. ก็มาเรียนปริญญาตรีที่คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง ใช้เวลาเรียนจนสำเร็จการศึกษาปริญญาตรี 4ปี เมื่อปี 2552 หลังจากจบมาได้ 1 ปี ก็มาสมัครเรียนเมื่อปี 2553 แต่แม่มาลงทะเบียนไว้ทุกเทอม แต่ไม่ได้มาเรียน เพราะช่วงนั้นทำการค้าขายอยู่ พอปี 2557 เทอม 2 ถึงมาเรียนจริงจัง

เรียนยากมั้ย ?
ไม่ยากค่ะ เรามองภายนอกว่านิติศาสตร์เป็นเรื่องที่ยาก แต่สำหรับแม่ไม่ยากเลย ถ้าเราได้มาสำผัสภายใน ได้เข้าเรียน จะไม่ยากเลย ขอให้เราสนใจอ่าน อ่านแล้วก็จดบันทึก จดโน๊ตย่อ ถ้าเรานึกไม่ออกตรงไหน ก็ไปอ่านโน๊ตที่เราย่อเอาไว้ แม่จะทำอย่างนี้ประจำ อ่านตำรา แล้วก็มีสมุดหนึ่งเล่ม ตรงไหนไม่เข้าใจก็จดย่อเอาไว้ เหมือนเราทำตำราของเราขึ้นอีกหนึ่งเล่ม แต่ต้องอ่านตำราจากอาจารย์ ส่วนชีทอ่านเป็นขั้นตอนสุดท้ายก่อนเข้าสอบหนึ่งอาทิตย์ ขั้นตอนแรกก็คืออ่านตำราของอาจารย์หมดเลย เหมือนได้ความรู้กว้างเหมือนใจตำรา

ทำไมคุณแม่ถึงเลือกเรียนนิติศาสตร์ ?
นิติศาสตร์ แม่ว่าเป็นเรื่องใกล้ตัวของเรามากที่สุด การใช้ชีวิตประจำวันของเรามันเกี่ยวกับนิติศาสตร์ทุกอย่าง ตื่นขึ้นมาเรื่องราวต่างๆมันก็เกี่ยวกับนิติศาสตร์หมด

คุณแม่มีมุมมองต่อการเข้าศึกษาในวัยสูงอายุยังไงบ้าง ?
สำหรับแม่ การศึกษามันไม่มีวันสิ้นสุด ศึกษาได้ตลอดชีวิต เริ่มต้นใหม่ได้ทุกวัน ตัดสินใจได้ทุกวัย วัยอย่างแม่ถ้ามีเวลา ไม่มีภาระอะไรก็อยากจะให้มาเรียน มันได้ใช้ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัย มันเหมือนกับเราได้เพื่อนทุกวัย ทุกรุ่น รุ่นลูก รุ่นเรา รุ่นน้อง รุ่นพี่ก็มี เหมือนเป็นการใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ด้วย ดีกว่าเราไปช็อปปิ้งสูญเสียเงินไปโดยเปล่าประโยชน์ ซึ่งเวลาว่างในแต่ละวัน สำหรับแม่มีค่ามีค่ามาก แม่จะทำเวลาให้มีค่าไม่ทิ้งเวลาให้สูญเปล่า

ด้วยอายุที่มากขึ้นเรื่อยๆ มีอุปสรรคต่อการศึกษาของคุณแม่บ้างมั้ย ?
ไม่มีเลยค่ะ สำหรับแม่ไม่มีอุปสรรคเลย เดินทางเอง อย่างแม่อาศัยอยู่ย่ายสายไหม และช่วงนี้ถนนพหลโยธิน เขาจะขุดตอหม้อสร้างรถไฟฟ้า แม่ก็เดินทางโดยรถตู้ไม่ได้ เพราะรถติดมาก กว่าจะถึงมหาวิทยาลัยแต่ละครั้ง ช่วงนี้เลยต้องนั่งรถแท็กซี่มาเรียนไปก่อน ทั้งขาไปและขากลับ ปกติจะนั่งแท็กซี่เฉพาะช่วงสอบเท่านั้น นอกเหนือจากนั้นจะนั่งรถประจำทาง รถตู้ รถเมล์

เวลาคุณแม่เดินทางรู้สึกมีอุปสรรคบ้างมั้ย ?
ไม่เคยมีเลย เหมือนกับว่ามีความสุข มันทำให้เรามีจุดมุ่งหมาย ว่าสิ่งที่คือความสุขของเราอยู่ตรงนี้ ตรงที่เราได้เรียน ได้ศึกษา แม่จะชอบอ่าน ชอบจด ชอบบันทึก เป็นคนอย่างนี้อยู่แล้ว และทำมาโดยตลอด

คุณแม่คิดยังไงกับการมาเรียนแล้วเจอกับคนที่ต่างวัยกัน ?
แม่ว่าเป็นสิ่งที่ดีมาก รามคำแหง ให้โอกาสกับทุกระดับ ทุกวัย ไม่จำกัดว่าคุณจะจบมาจากไหน วัยไหน รามคำแหงให้โอกาสมาก แล้วไม่ได้มีเพียงวิชาการเท่านั้น มีกิจกรรมเยอะมาก ถ้าเรามีเวลา อย่างตอนศึกษาปริญญาตรีใบแรก คุณแม่ได้อบรมรำวงมาตรฐาน ตีขิม ซึ่งสองสิ่งนี้ไม่เคยได้สัมผัดมาก่อน อย่างการพิมพ์ก็ได้จากการมาศึกษาในมหาวิทยาลัย คือมีมากกว่านี้ ถ้าเรามีเวลาก็จะได้เรียนรู้มากกว่านี้

มีอุปสรรคบ้างมั้ยกับการเจอคนที่ต่างวัยกันมากๆ ?
ไม่มีเลย แม่จะขอเป็นเพื่อนกับเด็ก สวัสดีก่อนเลย "สวัสดีค่ะลูก ลูกเรียนวิชาไหนบ้างคะ คุณป้าขอเป็นเพื่อนด้วยนะคะ เขาก็ยินดี" แล้วก็จะขอเบอร์ ขอไลน์ อย่างวันไหนเราไม่ได้เรียน ก็ขอเลคเชอร์ เขาก็ส่งให้ทางไลน์ ตอนนี้มีเพื่อนรุ่นลูกเยอะมากที่แม่ขอเขาเป็นเพื่อนมา และมีเพื่อนเพิ่มขึ้นทุกวัน ซึ่งหลังจากเป็นเพื่อนกันแล้วเขาก็จะไลน์มาหาบ้างว่า "วันนี้คุณป้ามาเรียนมั้ยคะ คุณป้ามีเรียนวิชาไหนบ้างคะ หนูขอนั่งใกล้คุณป้าด้วยนะ" ซึ่งเขายินดีจะเป็นเพื่อนกับเรา แต่แม่ก็ไปผูกสัมพันธ์กับเขาก่อน เด็กๆเขาจะไม่กล้าทักเพราะเห็นเราเป็นผู้ใหญ่ จึงใช้วิธียิ้มให้ เป็นมิตรกับเขาก่อน

ทำไมคุณแม่มีมุมมองยังไงกับการเรียนต่อไปเรื่อยๆ เพราะก่อนหน้านี้ก็เรียนจบไปแล้ว 1ใบ ?
คือมุมมองของแม่ ปริญญามารองจากความรู้ แม่อยากเอาความรู้ก่อน ปริญญามาเป็นที่ 2 คืออยากได้ความรู้จริงๆ จึงมากเรียน ไม่ได้ต้องการให้ผ่านอย่างเดียว คือแม่ต้องการให้ได้ความรู้จริงๆ จะสอบกี่ครั้งก็ได้ แต่ขอให้ได้ความรู้จริงๆ

ตอนนี้ได้นำไปใช้ประโยชน์ด้านใดบ้าง ?
เหมือนกับว่าตอนนี้เราเป็นกบนอกกะลา จากที่เรารู้อยู่แค่เฉพาะในกะลา มันก็ได้กว้างขึ้น ได้เพิ่มขึ้น อย่างด้านกฏหมาย เมื่อก่อนเรารู้แคบๆ พอได้มาศึกษาจริงๆ มันกว้างขึ้น ได้รู้กว้างขึ้น

ตอนเป็นวัยรุ่นทำไมคุณแม่ถึงไม่ใช้โอกาสใช่ช่วงเวลานั้น ?
ตอนนั้นคุณแม่ขาดโอกาส เพราะว่าพ่อกับแม่มีทุนทรัพย์น้อย สมัยเด็กๆ ตัวเองเรียนเก่งแต่ขาดโอกาส แม้ว่าเราไม่ได้อยู่ในห้องเรียนก็จริง แต่เรื่องการอ่าน การจดบันทึกทำมาตลอด คือเรามีใจรักในการศึกษา ตอนเด็กๆเรียนได้เกรดดี เป็นหัวหน้าชั้นตลอด เพียงแต่ขาดโอกาส เพราะว่ายุคนั้นพ่อแม่ทุนทรัพย์น้อยก็เลยให้มาเรียนโรงเรียนวิชาชีพสอนตัดเสื้อ

ตั้งแต่มาเรียนทางบ้านว่าไงบ้าง เป็นห่วงมั้ย ?
ทางบ้านสนับสนุน เขาก็รู้ว่าเราเอาตัวรอดได้ในการเดินทาง ไม่มีปัญหาเลย อย่างเวลามาส่วนใหญ่ที่บ้านเขายังไม่ตื่นกัน อย่างลูกเขาอยากมาส่ง แต่แม่บอกเขาไม่ต้องเลย คือแม่ช่วยเหลือตัวเองได้ ไม่รบกวน

ตอนเริ่มกลับมาเรียนตอนแรก คุณแม่บอกที่บ้านว่ายังไงบ้าง ?
ตอนแรกยังไม่บอก ตอนนั้นแม่เรียนควบกับ Pre-degree ช่วง ม.ปลายตอนเรียน กศน. พอจบ ม.ปลาย ก็เก็บหน่วยกิจได้ 19หน่วยกิจ

ปริญญาใบนี้ คุณแม่เรียนเก็บหน่วยกิตได้เท่าไหร่แล้ว ?
ตอนนี้เพิ่งเก็บได้ไป 1วิชา เพราะเพิ่งมาเรียน อย่างวิชาที่เก็บได้ก็สอบ 2ครั้ง ก็รู้สึกดีใจว่าเราสอบแค่ 2ครั้งเราผ่าน คือเราทุ่มเททุกอย่าง ที่ได้เพราะทุ่มเท อ่านทำความเข้าใจทุกอย่างเราก็ภูมิใจ ไม่ได้วางไว้ว่าจะสอบกี่ครั้งถึงจะผ่าน เพียงแค่ขอให้เราได้ความรู้จริงๆ เราผ่านด้วยความพยายามของเราจริงๆ เพราะถ้าเราผ่านแล้วหมายความว่าเราเข้าใจในวิชานั้นแล้ว

คุณแม่คิดว่าการศึกษาสมัยนี้ แตกต่างกับสมัยก่อนยังไงบ้าง ?
แตกต่าง มันจะเหมือนกับว่าสมัยก่อนจะละเอียดกว่า ในการเขียน หรืออะไรสารพัด แต่มันก็ได้อย่างเสียอย่าง สมัยก่อนด้านภาษาจะอ่อนสำหรับคนไทย แต่สมัยนี้เทคโนโลยีทันสมัยขึ้นเยอะ ก็เลยได้อย่างเสียอย่าง

คุณแม่มองการอ่านหนังสือของเด็กสมัยนี้ยังไงบ้าง ?
ส่วนมากเด็กๆ จะอ่านชีท (sheet) กัน แม่ก็แนะนำเขาว่า "ลูกต้องอ่านตำราของอาจารย์ก่อนนะลูก ยกตัวอย่างว่าเราซื้อ CD ถ้าเราอ่านตำราของอาจารย์ หมายถึง CD ของแท้นะคะ ถ้าเราซื้อชีทเราได้ CD ปลอมนะลูก มันจะไม่แน่น หลวมๆ มันลัดขั้นตอน ลูกต้องอ่านตำราของอาจารย์ก่อน อย่างน้อยอ่านทั้งเล่มรอบเดียวก็ได้ แล้วลูกจะได้รู้ลึก" ก็เป็นการแนะนำให้อ่านตำราของอาจารย์ก่อน

คุณแม่ตั้งเป้าหมายการศึกษาในอนาคตไว้ยังไงบ้าง ?
แม่คิดว่าถ้าจบปริญญาตรีคณะนิติศาสตร์ แม่อยากต่อปริญญาโทคณะนิติศาสตร์ต่อเลย คือมีความชอบในด้านกฏหมาย แต่ตอนนี้ขอให้จบปริญญาตรีก่อน (คุณแม่ยิ้ม)

คุณแม่ได้ตั้งเป้าหมายระยะเวลาของการศึกษาปริญญาตรีใบนี้มั้ย ?
อันนี้แม่ไม่ได้คิด แต่แม่จะเต็มที่กับการอ่าน การทำความเข้าใจทุกอย่าง แม่ไม่ได้วางเป้าว่าจะกี่ปี แต่ว่าเราจะเต็มที่ จะไม่เครียด เรียนสบายๆ แต่จะมีวินัยในการอ่าน ต้องอ่านทุกวัน อ่านทำความเข้าใจ

คุณแม่อยากพูดอะไรถึงผู้สูงอายุท่านอื่นที่อยากเข้าเรียน แต่รู้สึกอายบ้าง ?
อยากบอกทุกท่านว่าในวัยผู้ใหญ่ ทุกคนถ้ามีเวลา ไม่มีภาระอยากให้ทุกคนมาเรียน เราไม่ต้องอาย การเรียน ถ้าเราอายก็ไม่ได้ความรู้ ไม่ต้องคิดว่าเราไปถึงระดับไหนแล้วเราต้องมาเริ่มใหม่ ไม่ต้องอาย มาเรียนแล้วได้เพื่อน เพื่อนรุ่นลูก รุ่นเรา รุ่นน้องเรา ขอให้มาเริ่มต้นเรียนกัน เพราะการศึกษาสามารถเริ่มต้นได้ทุกวัน และการศึกษามีส่วนช่วยให้ประเทศสามารถพัฒนาได้ และตัวเราก็จะได้กำไรไปด้วย ดีกว่าเราใช้เวลาว่างโดยการไปช็อปปิ้ง ทำอะไรที่ไม่มีคุณค่า เราเอามาเรียนดีกว่า

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook