“น้องจูน” เปิดใจ ไม่อายที่ทำอาชีพรปภ. ช่วยแบ่งเบาภาระพ่อแม่

“น้องจูน” เปิดใจ ไม่อายที่ทำอาชีพรปภ. ช่วยแบ่งเบาภาระพ่อแม่

“น้องจูน” เปิดใจ ไม่อายที่ทำอาชีพรปภ. ช่วยแบ่งเบาภาระพ่อแม่
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

น้องจูน เผย อยากหารายได้เสริมในช่วงปิดเทอม ไม่อายที่ทำอาชีพรปภ. คุณพ่อ ระบุ อยากให้ลูกสาวหาประสบการณ์ชีวิต คุณแม่ ยัน ไม่เคยดุและพยายามพูดคุยในทุกๆ เรื่อง

(30 มิ.ย. 60) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า น.ส.วัลย์ลดา กันตพลจรัณธร หรือน้องจูน วัย 21 ปี นักศึกษาปี 3 คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ สาวเน็ตไอดอลที่ตอนนี้กำลังเป็นกระแสบนโลกโซเชียล หลังเธอเข้าทำงานเป็น รปภ. ห้างฟิวเจอร์พาร์ค รังสิต เพื่อหารายได้แบ่งเบาภาระพ่อแม่ในช่วงปิดเทอม ซึ่งปัจจุบันเป็นอาชีพที่วัยรุ่นน้อยคนนักจะสนใจ ทำให้ชาวโซเชียลแห่พากันชื่นชมยกย่องให้เป็น เน็ตไอดอล แบบอย่างที่ดีแก่เยาวชน

น.ส.วัลย์ลดา กันตพลจรัณธร เปิดใจผ่านรายการแหม่มปอล์ มอร์นิ่ง ทางช่องพีพีทีวีว่า ในช่วงปิดเทอมอยากหารายได้เสริม ไม่อยากอยู่เฉยๆ จึงเดินทางไปหางานที่ห้าง และได้เจอกับคุณลุงที่เป็นรปภ. จากการสอบถามวิธีการสมัครและรายได้แล้ว ตนจึงสนใจเข้าไปสมัครทำงาน ซึ่งสำหรับตนคิดว่าทุกอาชีพมีความเท่าเทียมกันหมด ไม่มีอาชีพไหนที่น่าอับอาย และอยากหาประสบการณ์ให้กับตัวเอง โดยก่อนที่จะทำงานเป็นรปภ. จะต้องผ่านการอบรมก่อน เช่น เวลาทำงานต้องยืนตรงไหน และเวลาเกิดเหตุการณ์ต่างๆ ควรจะทำอย่างไร ส่วนในเวลาขณะปฏิบัติงานมักจะมีลูกค้ามาขอถ่ายรูปตนบ้าง และมีเพื่อน ๆ ที่มหาวิทยาลัยมาทักทายตนปกติ ซึ่งเงินที่ได้จากการทำงานรปภ.นี้ ตนจะนำไปแบ่งเก็บไว้และสมัครเรียนภาษาอังกฤษ โดยในอนาคตตนไฝ่ฝันว่าอยากจะเป็นโบรกเกอร์

“ต้องขอขอบคุณทุกคนที่ให้กำลังใจหนูในเรื่องที่ดีๆ และอยากฝากถึงวัยรุ่นด้วยกันว่า ถ้าหากมีเวลาว่าง ก็อยากให้เอาเวลาว่างนี้ ทำให้เกิดประโยชน์ ทำในสิ่งที่ตัวเองรักก็ได้” น้องจูนกล่าว

ด้านคุณพ่อ ‘น้องจูน’ เปิดเผยว่า ตอนแรกที่ได้ทราบก็รู้สึกตกใจ แต่ก็อยากให้ลูกสาวเรียนรู้สร้างเสริมประสบการณ์ชีวิต จึงได้อนุญาตให้ทำงานเป็นรปภ. และอยากฝากถึงบุคคลที่แสดงความคิดเห็นในแง่ลบว่า ถ้าหากเด็กจะทำความดี อย่ากล่าวโจมตีในทางที่ไม่ดี อยากให้ช่วยกันส่งเสริมให้มีเยาวชนดีๆ จำนวนมาก สังคมไทยจะได้น่าอยู่ยิ่งขึ้น

ขณะที่คุณแม่ ‘น้องจูน’ กล่าวว่า ก่อนที่ลูกสาวจะไปทำงานเป็นรปภ. ก็ได้บอกกับตนก่อนแล้ว และตนก็ตามใจลูกสาว ซึ่งตนมั่นใจว่าลูกสาวทำงานนี้ได้ เพราะเขาเป็นเด็กที่มุ่งมั่นตลอดเวลา โดยที่ผ่านมาจะไม่มีการดุด่า และจะพยายามคุยกับเขาทุกๆเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเพื่อน หรือเรื่องเรียน ถึงแม้จะอยู่ห่างไกลกัน แต่ก็ได้โทรศัพท์ติดต่อทุกวัน

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook