การนับเวลาแบบไทย "โมง-ทุ่ม-ตี-ยาม" คืออะไร มาศึกษากัน

การนับเวลาแบบไทย "โมง-ทุ่ม-ตี-ยาม" คืออะไร มาศึกษากัน

การนับเวลาแบบไทย "โมง-ทุ่ม-ตี-ยาม" คืออะไร มาศึกษากัน
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ประเทศไทยเรานอกจากจะใช้วิธีการบอกเวลาแบบสากลแล้ว ก็ยังมีการบอกเวลาที่มีลักษณะที่โดดเด่นเฉพาะประเทศเราไทยเราเฉพาะอย่างการนับเวลาด้วยการใช้ โมง-ทุ่ม-ตี-ยาม นั่นเอง โดยในครั้งนี้ Sanook! Campus เราก็จะพาเพื่อนๆ มาทำการศึกษาเรื่องการนับเวลาแบบไทยๆ ให้เพื่อนได้อ่านกันซักหน่อย

โมง-ทุ่ม-ตี

คนไทยสมัยก่อนใช้การตีฆ้องและตีกลองเพื่อเป็นสัญญาณบอกเวลา คำ โมง จึงเป็นคำที่เลียนเสียงฆ้อง ส่วนคำ ทุ่ม เลียนมาจากเสียงกลองนั่นเอง พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒ ได้อธิบายคำศัพท์ที่เกี่ยวกับการนับเวลาของไทยไว้ดังนี้

โมง หมายถึง วิธีนับเวลาตามประเพณีในเวลากลางวัน ถ้าเป็นเวลาก่อนเที่ยงวัน ตั้งแต่ ๗ นาฬิกา ถึง ๑๑ นาฬิกา เรียกว่า โมงเช้า ถึง ๕ โมงเช้า ถ้าเป็น ๑๒ นาฬิกา นิยมเรียกว่า เที่ยงวัน ถ้าหลังเที่ยงวัน ตั้งแต่ ๑๓ นาฬิกา ถึง ๑๗ นาฬิกา เรียกว่า บ่ายโมง ถึง บ่าย ๕ โมง ถ้า ๑๘ นาฬิกา นิยมเรียกว่า ๖ โมงเย็น หรือ ยํ่าคํ่า

ทุ่ม หมายถึง วิธีนับเวลาตามประเพณีสําหรับ ๖ ชั่วโมงแรกของกลางคืน ตั้งแต่ ๑๙ นาฬิกา ถึง ๒๔ นาฬิกา เรียกว่า ๑ ทุ่ม ถึง ๖ ทุ่ม แต่ ๖ ทุ่ม นิยมเรียกว่า สองยาม

ตี หมายถึง วิธีนับเวลาตามประเพณีในเวลากลางคืน หลังเที่ยงคืน ตั้งแต่ ๑ นาฬิกา ถึง ๖ นาฬิกา เรียกว่า ตี ๑ ถึง ตี ๖ แต่ตี ๖ นิยมเรียกว่า ยํ่ารุ่ง

การบอกเวลาด้วยคำว่ายาม

ยาม เป็นการนับเวลากลางคืนในประเทศไทยสมัยโบราณ และพบในการพากย์ภาพยนตร์จีนที่เรียกว่า ชั่วยาม โดยในจีนแบ่ง ๑ วันเป็น ๑๒ ชั่วยามตามที่บอกไว้ในธงชาติสาธารณรัฐจีน ขณะที่หนึ่งยามของไทยมีค่าประมาณ ๓ ชั่วโมง

คำที่เกี่ยวกับ “ยาม” ที่คนไทยเรารู้จักและเข้าใจดีคำหนึ่งก็คือ “แขกยาม” ซึ่งได้แก่แขกที่เป็นชาวอินเดีย มักจะเป็นแขกปาทาน นุ่งผ้าขาวโจงกระเบน ที่เรามักว่าจ้างให้มาอยู่ยามตามตลาด หรือโรงเลื่อยโรงสี ตลอดจนโรงแรมใหญ่ ๆ บางคนก็มีเตียงนอนถักด้วยเชือก เขามักจ้างเฝ้ายามเฉพาะในเวลากลางคืน แขกพวกนี้มักจะถือกระบองอันโต ๆ น่าเกรงขาม และมักจะตีเหล็กแผ่นเป็นสัญญาณบอกเวลาทุกชั่วโมง

คำว่า “ยาม” ที่เรานับกันตามแบบไทย ๆ กับ “ยาม” ของแขกตามที่ปรากฏในบาลีนั้นแตกต่างกัน ทั้งนี้เพราะคืนหนึ่งเราแบ่งเป็น ๔ ยาม ยามละ ๓ ชั่วโมง

  • ตั้งแต่ย่ำค่ำ คือ ๑๘ นาฬิกา ถึง ๓ ทุ่ม (๒๑ นาฬิกา) เป็นยามที่ ๑
  • หลังจาก ๒๑ นาฬิกา หรือ ๓ ทุ่ม ไปถึง ๒๔ นาฬิกา หรือ เที่ยงคืน เราเรียกว่า ยาม ๒ หรือ ๒ ยาม
  • หลัง ๒๔ นาฬิกา ไปถึงตี ๓ (๓ นาฬิกา) เราเรียกว่า ยาม ๓
  • และหลังจากตี ๓ ไปจนย่ำรุ่ง หรือ ๖ นาฬิกา เราเรียกว่า ยาม ๔ ซึ่งเป็นยามสุดท้ายของคืน

ยามตามคติบาลี

ในวรรณคดีไทยถือตามคติสันสกฤตว่า คืนหนึ่งมี ๔ ยาม ยามหนึ่งมี ๓ ชั่วโมง แต่คติที่ปรากฏในวรรณคดีบาลีรวมถึงวรรณคดีบาลีที่แปลแต่งเป็นภาษาไทยว่าไว้ต่างกัน คือกำหนดว่า คืนหนึ่งมี ๓ ยาม ยามหนึ่งมี ๔ ชั่วโมง เรียกยามทั้ง ๓ ช่วงนี้ตามลำดับว่า ปฐมยาม (อ่านว่า ปะ -ถม-มะ -ยาม) ทุติยยาม (อ่านว่า ทุ -ติ-ยะ -ยาม) และปัจฉิมยาม (อ่านว่า ปัด-ฉิม-มะ -ยาม) ตามลำดับ

  • ปฐมยาม หรือ ยามแรก ได้แก่ช่วงเวลา ๑๘.๐๐-๒๒.๐๐ น.
  • ทุติยยาม หรือ ยามที่ 2 ได้แก่ช่วงเวลา ๒๒.๐๐-๐๒.๐๐ น. และ
  • ปัจฉิมยาม หรือ ยามสุดท้าย ได้แก่ช่วงเวลา ๐๒.๐๐-๐๖.๐๐ น.

ยามตามคตินี้ปรากฏในเรื่องมงคลสูตรคำฉันท์ (อ่านว่า มง-คน-ละ -สูด-คำ-ฉัน) ซึ่งพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชนิพนธ์จากมงคลสูตรและอรรถกถามงคลสูตร (อ่านว่า อัด-ถะ-กะ -ถา-มง-คน-ละ -สูด) ความตอนหนึ่งกล่าวถึงเทวดามาเฝ้าพระพุทธเจ้าหลังพ้นปฐมยามหรือพ้นเวลา ๒๒.๐๐ น. ไปแล้ว เพื่อทูลถามพระพุทธเจ้าว่า สิ่งใดเป็นมงคล

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook