เบื้องหลังของ “คนที่ชอบบ่นว่าเหงา” แต่พอมีใครเข้ามาก็ปฏิเสธ

เบื้องหลังของ “คนที่ชอบบ่นว่าเหงา” แต่พอมีใครเข้ามาก็ปฏิเสธ

เบื้องหลังของ “คนที่ชอบบ่นว่าเหงา” แต่พอมีใครเข้ามาก็ปฏิเสธ
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

เชื่อว่าหลาย ๆ คนในที่นี้น่าจะเคยเจอคนประเภทที่ชอบบ่นว่าตัวเองเป็นคนโสดที่เหงาจังเลย หรือชอบมีแคปชัjนสเตตัสในทำนองว่าเป็นโสดมานานแล้ว อยากมีคนรักคนเอาใจ โปรดจีบด่วน ๆ ผ่านหน้าฟีดบนโซเชียลมีเดีย ซึ่งคนคนนั้นอาจจะเป็นเพื่อนสนิทของคุณ เป็นคนรู้จัก หรือเป็นคนที่แค่บังเอิญไถหน้าจอไปเห็นเข้า ดีไม่ดีก็อาจจะเป็นตัวคุณเองนั่นแหละที่มีพฤติกรรมแบบนี้ เวลาผ่านไปสักพัก คนประเภทนี้ก็ยังโสดอยู่เหมือนเดิม ถ้าหากคุณรู้จักพวกเขา คุณก็จะพบว่าช่วงเวลาที่ผ่านมาพวกเขาก็ไม่ได้โสดสนิทชนิดที่ไม่มีใครเข้ามาหาเลยสักคน แต่กลับกลายเป็นว่าตลอดเวลาก็มีคนเข้ามาขายขนมจีบให้บ้างเหมือนกัน ทว่าเพราะคนประเภทนี้แหละที่เป็นฝ่ายปฏิเสธคนที่เข้ามาจีบเสียเอง

ซึ่งถ้าหากเป็นตัวคุณเองที่มีพฤติกรรมแบบนี้ พฤติกรรมที่ชอบพร่ำเพ้อว่าตัวเองเหงา บ่นว่าอยากลงจากคานแล้ว แต่เอาเข้าจริง เมื่อมีคนเข้ามาจีบจริง ๆ จัง ๆ ก็กลับกลายเป็นว่าตัวเองนี่แหละที่เป็นคนรีบถอยหลังออกมาจากความสัมพันธ์จาง ๆ นั้นแทน บางคนรีบปฏิเสธตั้งแต่อีกฝ่ายเพิ่งเริ่มมีท่าทีจริงจัง ยังไม่ทันได้เริ่มจีบด้วยซ้ำไป บางคนใจกล้าหน่อย ลองเปิดใจบางส่วนเพื่อให้ได้ลองศึกษาอีกฝ่าย แต่ก็ฝืนได้ไม่นาน สุดท้ายก็หันหลังกลับออกมา แม้ว่าอีกฝ่ายจะดีด้วยมาก ๆ หน้าตาก็ไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่อะไร โดยรวมแอบตรงสเปคด้วยซ้ำ แต่ก็ยังไม่เอาเขา (มาพิจารณา) อยู่ดี

มันเป็นยังไงเนี่ยคนประเภทนี้! เบื้องหลังของพวกที่ชอบบ่นว่าตัวเองเหงา แต่พอมีใครเข้ามาก็ไม่เอาเขา รีบปฏิเสธทั้งที่ยังไม่ได้ศึกษาอะไรกันเลย มันเป็นยังไง!

1. หวงความสุขที่มีอยู่แล้ว

ที่บ่นว่าเหงาหรืออยากมีใครน่ะ จริง ๆ แล้วคนประเภทนี้แค่บ่นไปงั้น ๆ แหละ เหมือนให้มีคอนเทนต์หรือมีหัวข้อที่จะสนทนากับคนอื่นเท่านั้น เพราะคนเหล่านี้คือคนที่มีความสุขกับความโสดของตัวเองอยู่แล้ว ไม่ได้เดือดร้อนเรื่องที่ยังไม่มีแฟนด้วยซ้ำ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นพวกที่เต็มใจโสดเอง ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้หมายความว่าที่พวกเขาบ่นว่าเหงาจะเป็นเรื่องโกหกนะ พวกเขาก็คนธรรมดา ๆ คนหนึ่ง ที่รู้สึกเหงาหรืออ้างว้างได้เป็นปกติ เพียงแต่พวกเขาคิดว่ามันมีสารพัดวิธีที่จะทำให้ตัวเองหายเหงาที่ไม่ใช่วิธีรีบมีแฟน เอาเข้าจริงก็ไม่มีอะไรมาการันตีเสียหน่อยว่ามีแฟนแล้วจะหายเหงา จึงไม่ต้องแปลกใจที่คนพวกนี้จะชอบบ่นว่าเหงา บ่นว่าอยากมีใคร แต่พอมีคนเข้ามาจีบจริง ๆ ก็รีบปฏิเสธอย่างไว

2. กลัวความผิดหวัง/อกหัก

ถ้าอยากรักต้องไม่กลัวคำว่าเสียใจ! อกหักดีกว่ารักไม่เป็น! แต่เชื่อเถอะ คนที่เคยผิดหวังในความรักหรือเคยอกหักมาอย่างแรงน่ะ การเริ่มต้นมีความรักครั้งใหม่มันไม่ง่ายหรอก เพราะกว่าจะมูฟออนจากความสัมพันธ์ครั้งเก่ามาได้ก็ล้มลุกคลุกคลานแทบแย่ ที่สำคัญ คนกลุ่มนี้น่ะเจ็บปวดมามาก จึงมักจะมีความคิดในทำนองที่ว่าถ้าย้อนเวลาได้ขอเลือกที่จะไม่รู้จักกับคนนั้น หรือขอตัดความทรงจำเกี่ยวกับความสัมพันธ์ครั้งเก่าทิ้งไปเลยดีกว่า ขอเลือกที่จะรักไม่เป็นและกลัวประวัติศาสตร์ซ้ำรอย หรือบางคนก็ไม่มีประสบการณ์ตรงหรอก แค่เห็นความเสียใจจากคนรอบข้างก็แหยงแล้ว คนกลุ่มนี้จึงไม่กล้าเปิดใจเริ่มต้นความสัมพันธ์ เพราะกลัวผิดหวัง เสียใจ และต้องผ่านช่วงแย่ ๆ ไปอย่างยากลำบากอีกครั้ง

3. ไม่กล้าเชื่อใจใครหรือไว้ใจใครง่าย ๆ อีกแล้ว

คนประเภทนี้อาจจะอาการหนักกว่าคนที่กลัวความผิดหวัง/อกหัก เพราะเคยโดนทำร้ายจิตใจด้วยการทำลายความเชื่อใจที่มีให้ไปจนหมดสิ้น การโดนคนที่ไว้ใจหักหลังน่ะมันแย่กว่าความผิดหวังหรืออกหักธรรมดาแน่นอน ผลที่ตามมาคือคนกลุ่มนี้กลายเป็นคนที่สร้างกำแพงขึ้นมาป้องกันตัวเองไว้อย่างแน่นหนา ไว้ใจคนอื่นได้ยากมาก และไม่เปิดใจให้ใครอีกเลยไม่ว่าจะใครก็ตาม รวมถึงคนเหล่านี้มักจะสูญเสียความไว้เนื้อเชื่อใจตัวเองไปด้วย เนื่องจากโทษว่าเป็นความผิดของตัวเองที่โง่ไปเชื่อใจคนแบบนั้นเอง ที่ไม่กล้าเปิดใจให้ใครอีกก็เพราะไม่เชื่อใจตัวเองเหมือนกันว่าพิจารณาคนที่อยู่รอบตัวดีแล้วหรือยัง ยังโง่ที่อ่านคนพวกนั้นไม่ออกอยู่หรือเปล่า กลัวว่าจะเกิดเหตุการณ์ซ้ำรอยให้เจ็บใจอีก

4. กลัวการเปลี่ยนแปลง

นอกจากกลัวที่จะผิดหวัง/อกหัก หรือเพราะไม่กล้าที่จะให้ใจใครอีกแล้ว อีกเหตุผลที่ทำให้ใครหลาย ๆ คนเลือกที่จะถอยห่างจากคนที่เข้ามาจีบก็คือ กลัวการเปลี่ยนแปลง คือต้องบอกก่อนว่าคนโสดที่มีความสุขน่ะก็ไม่ใช่ว่าจะอยากอยู่แบบโสด ๆ ไปตลอดชีวิตทุกคนไง บางคนก็อยากมีแฟน อยากจะมีความสุขมากกว่าเดิมกับใครสักคน แต่ก็กลัวที่จะเริ่มต้น เพราะการจะก้าวออกจากโลกของคนโสดมาเป็นเป็นโลกของคนมีคู่ สิ่งหนึ่งที่จะเกิดขึ้นแน่ ๆ คือ วิถีชีวิตที่ไม่เหมือนเดิม จากที่เคยทำอะไรคนเดียวก็จะมีอีกคนเข้ามาร่วมแชร์ อยากมีความรักแต่พอถูกความรักจู่โจมเข้าหาโดยไม่ทันตั้งหลัก มันก็มีใจหนึ่งที่กังวลการเปลี่ยนแปลงที่ต้องเปิดรับให้ใครอีกคนเข้ามา จึงเลือกที่จะถอยห่างก่อน

5. รู้สึกว่าตัวเองไม่ดีพอที่จะมีความรักหรือมีใคร

คนบางคนไม่กล้าที่จะเริ่มต้นสานสัมพันธ์กับใคร เพราะคิดว่าคนแบบตัวเองไม่ค่อยจะคู่ควรกับการมีความรักและคนรักเท่าไรนัก คิดว่าตัวเองมีข้อบกพร่องเยอะ รู้สึกว่าตัวเองไม่ดีพอ อาจจะด้วยความไม่สมบูรณ์แบบบางอย่าง เช่น เป็นคนธรรมดาเกินไป หน้าตาธรรมดา ไม่มีเสน่ห์ ไม่มีอะไรพิเศษ ไม่ใช่คนเก่งหรือมีความสามารถโดดเด่น เป็นคนประเภท nobody ของโลกใบนี้ หรืออาจจะรู้ว่าตัวเองมีนิสัยบางอย่างที่ไม่ดี เลยไม่อยากให้ใครต้องมาเดือดร้อนรับมือ หรืออาจเป็นเพราะว่าเคยผ่านประสบการณ์เลวร้ายมามากเกินไป ชีวิตมีแต่บาดแผล มีแต่ภาระต้องแบกรับ จึงไม่อยากจะเป็นภาระใครอีกต่อหนึ่ง ก็เลยไม่เชื่อว่าจะมีคนที่รักและยอมรับข้อด้อยตรงจุดนี้ได้ รู้สึกว่าอยู่คนเดียวมันอาจดีกว่า

6. ไม่ชัวร์ว่าเป็นความรักจริง ๆ หรือแค่อารมณ์ชั่ววูบเพราะเหงา จึงไม่อยากอยู่คนเดียว

ทำเป็นเล่นไป คนที่ยังสับสนกับความรู้สึกตัวเองแบบนี้น่ะมีเยอะนะบอกก่อน มันเป็นความรู้สึกที่ลังเลว่าจะตอบรับที่จะสานสัมพันธ์กับใครสักคนดีไหมหรือจะปฏิเสธไปก่อนดี เพราะตัวเองก็ยังไม่แน่ใจเหมือนกันว่าฉันอยากมีความรักจริง ๆ หรือมันเป็นแค่อารมณ์ชั่ววูบเพราะตอนนี้ฉันกำลังรู้สึกเหงา นั่นแหละยังเถียงกับตัวเองอยู่ว่าฉันรู้สึกรักจริง ๆ หรือแค่ไม่อยากจะอยู่คนเดียวกันแน่ ในเมื่อตัวเองยังทะเลาะกับตัวเองไม่จบก็ขอขยับออกมาก่อนละกัน กลัวว่าตัวเองจะตัดสินใจผิดพลาดแล้วไปทำร้ายจิตใจคนอื่นเพิ่ม หากว่าในท้ายที่สุดแล้วมันไม่ใช่ความรัก เป็นแค่อารมณ์เหงาและอยากลองคบใครเฉย ๆ ไม่มีความรู้สึกลึกซึ้งอะไรเลย อีกฝ่ายจะกลายเป็นคนแก้เหงาในทันที

7. หรืออาจถึงขั้นเป็น Philophobia ที่กลัวการตกหลุมรักไปแล้ว

จาก 6 ข้อที่ผ่านมา จะเห็นว่าสาเหตุที่ตัวเองยังโสดมันเป็นเรื่องที่เราพยายามหาเหตุผลมาอธิบายความโสดของตัวเอง โดยที่อาจจะไม่ทันได้สังเกตจริง ๆ จัง ๆ ว่าการหนีความรู้สึกรักที่ตัวเองกำลังเป็นอยู่ มันอาจเข้าขั้นเป็นความผิดปกติทางจิตใจอย่างหนึ่งไปแล้วก็ได้ หรือที่เรียกว่า Philophobia จริง ๆ แล้วมันไม่ถือว่าเป็นโรคในทางการแพทย์ แต่เป็นภาวะในโรคกลัวแบบเฉพาะเจาะจง มันคือความรู้สึกที่กลัวการตกหลุมรัก จึงพยายามไม่เข้าใกล้ความรู้สึกพิเศษกับใครอย่างจริงจัง ต่อให้เกิดความรู้สึกพิเศษนี้กับใครขึ้นมาก็ไม่กล้าเปิดใจที่จะไปต่อ ขอถอยหลังออกมาดีกว่า ดังนั้น ถ้ามาพิจารณาดูดี ๆ แล้วจะพบว่าตัวเองไม่ได้โสด สวย สตรอง หรือเข้มแข็งแบบที่ปลอบใจตัวเองมาตลอดหรอก

ถ้าถามว่าทำไมถึงมีอาการกลัวจนถึงขั้นเป็นความผิดปกติทางจิตใจ ต้องบอกว่าทุกอย่างมันสะสมมาจากประสบการณ์และการรับรู้ที่ไม่ค่อยจะดีเท่าไรนักของความรักในแบบที่ตัวเองพบเจอมา ทั้งจากทางตรงและทางอ้อม เพราะความรักที่ตัวเองรู้จักมันไม่เห็นจะมีอะไรดี ตอนเด็ก ๆ ก็เห็นพ่อแม่ทะเลาะกันจนต้องหย่าร้าง เคยรู้สึกดีกับใครสุดท้ายก็ถูกหักหลัง เคยคบแฟนคนหนึ่งก็จบไม่สวยถึงขั้นทำให้เจ็บปวดทุกข์ทรมาน เคยเป็นที่ปรึกษาเรื่องความรักให้กับเพื่อนหลายคน สภาพแต่ละคนเวลามีปัญหาความรักก็ดูไม่จืดตลอด ในเมื่อไม่เห็นว่าความรักไม่จะสวยงามตรงไหน ก็เลยเลือกที่จะปิดกั้นตัวเองจากความรัก เพราะไม่อยากให้อะไรแบบนั้นเกิดกับตัวเอง จึงคิดว่าโสดน่ะดีที่สุดแล้ว

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook