I-Destiny...บทที่1
"ฉันกำลังจะตายเหรอทำไม...ทำไมถึงเร็วอย่างนี้ แล้วที่นี่ที่ไหนกันหรือว่าฉันตายแล้ว"
เสียงพูดของชายหนุ่มที่มีผมสีดำเงาวาวยาวถึงกลางหลัง นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนๆ รูปร่างผอมบางที่ชื่อว่าธนรัตน์กำลังมองรอบๆสิ่งที่เรียกกันว่าความมืดมิดทุกๆอย่างมืดไปหมดมีแต่ตัวธนรัตน์เท่านั้นที่อยู่ตัวคนเดียว
ความมืดกำลังท่วมท้นเข้ามาเรื่อยๆธนารัตน์ได้แต่วิ่งไปอย่างไร้จุดหมายโดยที่พยายามที่จะหนีไปให้ไกลที่สุดอย่างความมืดแต่ทว่าความมืดนั้นมันไม่มีสิ่งที่ว่าที่สิ้นสุดเลย
"ทางนี้...มาทางนี้สิ"
เสียงประหลาดๆคล้ายเสียงของเด็กผู้หญิงที่ดังก้องกังวานจากไร้ทิศทางจากความมืดธนรัตน์พยายามไล่ตามเสียงเหล่านั้นไป ธนรัตน์วิ่งตามเสียงนั้นอย่างสุดชีวิตเพื่อจะได้หนีพ้นไปจากความมืดเสียที
แต่ทว่าความพยายามของเขามันก็ไม่สำเร็จ ธนรัตน์เริ่มท้อแท้แล้วเพราะความเหนื่อยล้าจากการวิ่งและได้ล้มลงท่ามกลางหมอกสีดำทมิฬที่กำลังกินตัวของเขาอย่างช้าๆทุกที
"เป็นอะไรไปล่ะ...เจ้าอยากตายหรือไง...ถ้ายังไม่อยากตาย...ก็อย่ายอมแพ้ซะตรงนี้....ถ้ายอมแพ้ตอนนี้อาจจะมีใครบางคนเสียใจก็ได้..."
เสียงประหลาดๆคล้ายเสียงของเด็กผู้หญิงที่ดังก้องกังวานจากไร้ทิศทางจากความมืดอีกครั้ง ทำให้ชายหนุ่มผมยาวที่กำลังท้อแท้อย่างธนรัตน์ผุดคิดขึ้นมาได้
"ใช่แล้ว...ฉันยังไม่อยากตายตอนนี้ฉันยังมีอีกหลายอย่างที่ต้องทำ แล้วถ้าฉันตายไปล่ะ ก็อาจจะมีคนเสียใจก็ได้ แล้วที่สำคัญฉันมีน้องสาวอยู่พ่อ-แม่ก็ไม่อยู่แล้วถ้าตายไป ใครล่ะจะดูแลน้อง ฉันยังไม่อยากยอมแพ้ ฉันต้องไม่ตาย"
ธนรัตน์พูดขึ้นพร้อมยืนด้วยสองขาของตัวเอง แล้วพร้อมที่จะวิ่งต่อไปอย่างไร้ที่สิ้นสุดถึงแม้ว่าจะไม่มีสิ่งที่เรียกว่าทางออกเลย เขาก็พร้อมที่จะสู้
แต่ทว่าทันใดนั้นเอง ได้มีแสงสว่างค่อยๆก่อตัวขึ้นเป็นประตูสีขาวบานใหญ่ท่ามกลางความมืด ธนรัตน์ไม่มีรีรอช้าจึงวิ่งไปที่ประตูนั้นซึ่งห่างจากตัวเข้าไม่ไกลมาก
ประตูสีขาวบานใหญ่ได้เปิดออกอย่างช้าๆ ข้างในนั้นมีแสงสว่างที่เจิดจ้าสาดส่องใส่ธนรัตน์จนเขาต้องยกท่อนแขนทั้งสองข้างมาปิดหน้าเอาไว้ จนแสงสว่างค่อยๆกลืนกินตัวของธนรัตน์ไป
พอธนรัตน์ลืมตาตื่นขึ้นสิ่งที่ธนรัตน์ได้เห็นสิ่งแรกก็คือแสงของหลอดไฟนีออนที่ให้ความสว่างติดๆดับๆและตัวเขาในสภาพที่เขานอนหงายอยู่ พอเขาลุกขึ้นอย่างช้าๆพร้อมกับรอยช้ำที่ได้จากการถูกเตะต่อยไม่ก็ถูกตุบตีและมองสำรวจสิ่งต่างๆรอบๆแล้ว ก็คือทางที่เขากำลังจะกลับบ้านซึ่งเป็นตรอกซอยเล็กๆทางค่อนข้างเปลี่ยว เป็นแหล่งที่ซ่องสุมของพวกอันพาลได้เป็นอย่างดีพร้อมบรรยากาศในช่วงค่ำคืน จนกระทั้งเขานึกออกว่าเขากำลังโดนพวกกลุ่มอันพาลรุมทำร้ายเขาจากรีดไถ่จากเขาจนกระทั้งหมดสติไป
"ไม่เป็นอะไรแล้วเจ้าปลอดภัยแล้ว ส่วนพวกอันพาลพวกนั้นมันหนีไปแล้วล่ะ"
คำพูดเรียบๆของผู้ชายที่ดังขึ้นข้างหลังของธนรัตน์ จนเขาดันไปต้นเสียงของผู้ชายคนนั้น เป็นชายวัยกลางคนหน้าตาดูเคร่งขรึม ใส่ชุดสูทสีดำสนิทพร้อมกับใส่แว่นตาหนาๆ การแต่งกายดูแล้วสุภาพเรียบร้อยดี
"คุณเป็นคนช่วยผมใช่ไหมครับ งั้นก็ขอขอบคุณมากๆเลยครับ ไม่รู้จะตอบแทนไงดีล่ะครับ"
ธนรัตน์ได้กล่าวขอบคุณเขาเป็นอย่างสูง
"ไม่ต้องขนาดนั้นก็ได้ ข้าไม่ถึงขนาดนั้นหรอก แล้วเจ้าน่ะรีบกลับบ้านซะเถอะนะ เดี๋ยวพ่อแม่ของเจ้าเป็นห่วงเอานะ"
ชายวัยกลางคนได้พูดขึ้นตามด้วยให้ของบางอย่าง ซึ่งเป็นกำไรข้อมือรูปทรงเหมือนพระจันทร์ครึ่งเสี้ยว สีเงินเงาวาว แล้วเขาพูดต่ออีกว่า
"นี้คือเครื่องรางของสำคัญของข้ามันจะช่วยเจ้าในยามลำบากได้นะ แล้วที่สำคัญข้าชื่อวิศุทธ์ ถ้าเจอข้าก็ทักบ้าง แล้วข้าจะรอนะ"
พูดจบชายวัยกลางคนที่มีชื่อว่าวิศุทธ์ก็เดินจากไป ส่วนธนรัตน์เองได้แต่มองดูกำไรข้อมือสีเงินแวววาวอย่างประหลาดใจว่า 'ทำไมถึงให้ของสำคัญๆแบบนั้นกับฉันกันนะ' แต่ก็ไม่รีรอช้าเขาได้ใส่กำไรข้อมือที่วิศุทธ์ได้ให้ไว้ แล้ววิ่งมุ่งหน้ากลับไปที่บ้านทันที
พอถึงบ้าน เป็นบ้านของธนรัตน์ที่ธรรมดาไม่ได้เริดหรูอะไรมากมายนัก เขาเปิดประตูรั่วบ้านของเขาก่อนที่ล็อคมันเพื่อป้องกันขโมยเข้าบ้าน ธนรัตน์เปิดประตูบ้านเพื่อที่จะเข้าในตัวของบ้าน
ในบ้านก็ไม่ได้ใหญ่โตขนาดนั้น เป็นห้องรับแขกเล็กๆที่ให้แสงสว่างอ่อนๆด้วยหลอดไฟนีออน มีโต๊ะรับแขกตัวหนึ่ง มีโทรศัพท์เครื่องหนึ่งและที่สำคัญมีรูปขนาดใหญ่ที่ใส่กรอบอย่างดีติดที่ผนัง ในรูปนั้นเป็นรูปครอบครัวของเขาซึ่งมี พ่อ แม่ น้องสาวและตัวธนรัตน์เอง
ธนรัตน์กำลังตรงดิ่งไปชั้นบนเพื่อไปห้องนอนแต่แล้วเขาก็ต้องชะงักเมื่อได้เห็นสาวน้อยผมสีน้ำตาลอ่อนๆที่หลับไหลอยู่บนโซฟาในบ้าน รูปผอมบางเหมือนธนรัตน์ เขารู้สึกค้นเคยกับเธออย่างดี เพราะเธอเป็นน้องสาวของธนรัตน์นั้นเอง
"พี่ค่ะ...เมื่อไหร่พี่จะกลับมาซะทีนะ..."
สาวน้อยละเมอขึ้นก่อนที่จะเข้าสู่ช่วงหลับไหลอีกครั้ง
"ไม่เป็นไรแล้วล่ะ พี่กลับมาแล้วล่ะนิศา"
ธนรัตน์ตอบกลับพร้อมกันห่มผ้าห่มที่น้องสาวของเขานอนดิ้นจนออกห่างจากตัวให้กลับมาเป็นอย่างเดิมก่อนที่เขาขึ้นไปห้องนอนของตัวเองเพื่อเราเช้าวันใหม่
รุ่งอรุณในยามเช้าอันสดใสแสงอาทิตย์สาดส่องลงมาอย่างอ่อนๆสายลมที่พัดผ่านมาอย่างช้าๆ ธนรัตน์วิ่งแข่งกับนิศาของสาวของเขาไปยังโรงเรียนที่ธนรัตน์ได้เรียนอยู่ที่นั้นซึ่งห่างจากบ้านได้ไม่ไกลนัก
"ทายซิว่า ใครจะถึงโรงเรียนก่อนนะค่ะ พี่"
นิศาได้กล่าวคำท้าดวลกับพี่ชายของเธอ
"ได้สิน้อง ใครแพ้คนนั้นเลี้ยงข้าวเย็นนี้นะ"
ธนรัตน์ได้รับคำท้าดวลของน้องสาวสุดที่รักของเขา จากนั้นธนรัตน์ได้เพิ่มความเร็วฝีเท้าของ ส่วนนิศาก็วิ่งเร็วไม่แพ้กัน
แต่ยังไงผู้ชายอย่างธนรัตน์ก็ต้องได้เปรียบกว่าผู้หญิงอย่างนิศาอยู่แล้ว จึงถึงโรงเรียนก่อนนิศาอย่างใสสะอาด
โรงเรียนที่ธนรัตน์เรียนอยู่เป็นโรงเรียนใหญ่สามารถจุนักเรียนได้4000กว่าคนมีตึกเรียนหลายตึกแต่ละตึกสูงประมาณ6-7ชั้น เป็นโรงเรียนของรัฐบาลที่ได้สร้างขึ้นมา
"ไรอะพี่ พี่เป็นผู้ชายนะ ขี้โกงชัดๆ"
นิศาหาข้ออ้างมาต่อรองกับพี่ เพื่อให้เรื่องท้าดวลใครวิ่งถึงโรงเรียนก่อนเป็นผู้ชนะให้เป็นโมฆะไปซะอย่างนั้น
"อ่าวๆ...ก็น้องเป็นคนท้าเองมันก็ช่วยไม่ได้นะ แล้ววันนี้พี่อาจจะกลับมืดนะ ซื้อข้าวเย็นมาให้ด้วยละกัน ฮ่า ฮ่า ฮ่า"
พี่ชายตีน่าซื่อพูดด้วยวาจาหยอกย้อนกับน้องสาวของเขา
"จ้าๆ เดียวจะซื้อมาให้แล้วอย่ากลับดึกนะแล้วเมื่อวานน่ะกลับซะดึกเชียวนะ งั้นหนูไปก่อนนะค่ะพี่"
พูดจบนิศาก็แยกทางกับธนรัตน์แล้วมุ่งหน้าไปหาเพื่อนของเธอซึ่งห่างจะตัวเธอไม่
ไกลนัก ส่วนธนรัตน์ก็ได้แต่พยักหน้าตอบรับคำพูดของนิศา
ไม่รีรอช้าธนรัตน์ก็ไปห้องเรียนของเขาเหมือนกัน แต่ในขณะนั้นธนรัตน์ก็รู้แปลกๆที่ทันทีที่ได้ย่างก้าวเข้าในโรงเรียนเป็นความรู้แปล๊บๆที่อกเหมือนเตือนว่าที่นี้มันอันตรายอะไรประมาณนั้นซึ่งเขาไม่เคยเป็นอย่างนี้มาก่อนตั้งแต่เข้าโรงเรียนนี้มา เขาได้หยุดเดินแล้วมองรอบๆโรงเรียนว่ามันมีอะไรแปลกไปหรือเปล่า
แต่แล้วความรู้สึกนั้นก็ได้หยุดชะงักลง เพราะมีมือหนึ่งมากระตุกผมของธนรัตน์อย่างแรง
"โอ้ย!!!"
ธนรัตน์ร้องเสียงหลงแล้วหันไปหาคนที่กระตุกผมเขา เป็นหญิงสาวในแว่นกรอบบางๆผิวสีแทน ผมสีดำเงาวาวเหมือนธนรัตน์ที่ถักเปียมาอย่างดี
"นี่ทำอะไรของเธอน่ะ อัปสร"
ธนรัตน์พูดขึ้นด้วยสีหน้าที่เจ็บปวด
"นี่แก...กะจะให้ผมแกยาวถึงพื้นเลยหรือไงกัน! ฉันบอกกี่ครั้งแล้วให้ไปตัดผมมาน่ะ แล้ววันนี้ก็เป็นวันสอบวันสุดท้ายแล้วอ่านหนังสือบ้างหรือเปล่าล่ะเนี่ยจะได้ไม่ต้องมาซ่อมตอนปิดเทอม"
อัปสรบอกกับธนรัตน์ด้วยสีหน้าโมโหที่พร้อมจะระเบิดออกมาทุกเมื่อ พร้อมกับกระตุกอย่างแรงอีก2-3ครั้ง
"โอ้ยๆๆเบาๆพอแล้วๆรู้แล้วๆ ก็อย่างที่บอกแหละก็ไว้ผมยาวให้กับพ่อแม่ฉัน แล้วที่สำคัญนะฉันเองก็อ่านหนังสือที่จะสอบไม่รู้ตั้งกี่สิบรอบแล้วเรื่องสอบน่ะฉันไม่มีปัญหาอยู่แล้ว"
ธนรัตน์บอกด้วยสีหน้าที่เจ็บปวดกับวาจาที่ทรมานสุดๆ
"นี่แก....นี่มันกี่ปีแล้วที่พ่อแม่แกตายไปน่ะห๊ะ! ที่พวกอาจารย์ที่ไม่ตัดผมแกน่ะ เพราะฉันเป็นคนช่วยแกไว้นะ ควรจะขอบคุณด้วยซ้ำไป!"
อัปสรระเบิดคำพูดก่อนที่จะปล่อยผมของธนรัตน์แล้วก็เดินจากไป ซึ่งปล่อยธนรัตน์ทำหน้างงไปพักใหญ่
ถ้านึกถึงพ่อแม่ของธนรัตน์แล้วพ่อแม่ของเขาตายตอนเขากับนิศายังเด็กๆ รู้สึกทางญาติจะเล่าให้ธนรัตน์กับนิศาฟังว่าพ่อของเขาตายด้วยอาการไข้หวัดใหญ่เฉียบพลัน ส่วนแม่ก็ตายด้วยอุบัติเหตุในขณะกลับบ้าน ส่วนทางญาติๆก็ให้ธนรัตน์กับนิศาให้มาอยู่บ้านญาติ แต่ก็กลับปฏิเสธพวกญาติๆไปเพราะเขาไม่อยากไปไหน อยากจะอยู่บ้านหลังนี้ ส่วนทางญาติๆก็ทำได้แค่ส่งค่าเล่าเรียนไปให้เขาเท่านั้น ส่วนเรื่องจับจ่ายใช่สอยนั้น ธนรัตน์บอกกับญาติว่าจะหาเอง ไม่อยากให้ใครๆมาลำบาก...
ตอนกลางคืนในยามเที่ยงคืนที่มืดมิด ไร้ผู้คนที่เดินไปมาสันจรหาที่ต่างๆ มีแต่ไฟนีออนกับพระจันทร์ที่ค่อยให้แสงสว่างในยามกลางดึก
ธนรัตน์รีบวิ่งออกจากสถานที่ทำงานพิเศษ ไปยังบ้านของเขา แต่ทว่าพอถึงทางที่เปลี่ยวๆแล้วซึ่งเป็นทางที่เขาต้องใช้เส้นทางนั้นในการกลับบ้าน
"ไง...ได้เจอกันอีกแล้วนะไอ้น้องชาย"
เสียงที่น่าสะอิดสะเอียนได้ดังขึ้นข้างๆธนรัตน์ จนเขาต้องหันไปหาต้นเสียง เป็นชายผมทรงสกินเฮด เปลือยท่อนบน ส่วนท่อนล่างใส่กางเกงยีนขาดๆ ซึ่งใบหน้ามีรอยเย็บตั้งหางตาด้านขวาไปจนถึงใต้คาง มีคนอีกหกเจ็ดคนที่กำลังสูบบุหรี่อยู่ซึ่งดูๆแล้วอาจเป็นแก๊งกลุ่มอันพาลที่ค่อยหาเรื่องผู้คนที่เดินผ่านมาแนวนั้นโดยเฉพาะธนรัตน์
"เออ...มีอะไรเหรอครับ"
ธนรัตน์ตอบแบบตะกุกตะกักแล้วท่าทางพยายามหนีให้ไกลจากพวกมันมากที่สุด
"บังเอิญว่าตังพี่ไม่มีอะไอ้น้อง พี่จะขอตังหน่อยได้มั้ย?"
ชายคนนั้นเดินแบบจิ๊กโก๋ไปหาธนรัตน์พร้อมกับแบมือที่ขอเงินจากเขา
"เออ...ผมต้องเอาไปใช้...."
พูดยังไม่จบประโยคก็โดนกำปั้นก็ชายคนนั้นซัดเข้าไปที่แก้มของธนรัตน์ ตามด้วยหน้าแข้งที่ซัดเข้าไปที่หน้าท้องธนรัตน์จนธนรัตน์ล้มลงไปนอนกองกับพื้น
"ไง...รู้อยู่แล้ว่ายังไงก็ไม่ให้ งกนักเหรอไงกัน"
ชายคนนั้นพูดแล้วตามด้วยข้อเท้าเตะไปตรงชายโครงของธนรัตน์อย่างไม่ยั้ง
"ไอ้ครั้งก่อนน่ะ...เอ็งยังโชคดีไป...รู้สึกจะมีไอ้แก่ที่ช่วยแกไว้ทัน ถ้าไอ้แก่นั้นมันไม่
มานะแกก็ตายคาพื้นอยู่นี้แล้ว แต่ตอนนี้สิโชคมันไม่เข้าข้างแกเลยว่ะ เอ้า!! พวกเราจัดการมันซะ!!!"
ชายคนพูดแล้วกวักมือเพื่อเรียกพวกอีกหกเจ็ดคนที่เหลือที่จะมารุมยำธนรัตน์ให้ตายในคราวนี้
...อีกแล้วเหรอ อีกแล้วเหรอ ฉันต้องตายอีกแล้วเหรอ ไม่อยากไปอยู่ในความมืดนั้นอีกแล้ว แล้วที่สำคัญฉันมีน้องสาวถ้าตายตอนนี้ใครล่ะจะดูแลน้องเรากัน ไม่เอานะ
ไม่เอานะ!!!...
ทันใดนั้นกำไรข้อมือที่วิศุทธ์ได้ให้กับธนรัตน์เกิดเปล่งแสงจ้าขึ้นมาจนพวกกลุ่มอันพาลได้หลีกออกไป
ธนรัตน์ค่อยๆเปิดเปลือกตาออกอย่างช้าๆ เขาค่อยๆลุกขึ้นพลางมองสำรวจรอบๆตัวเขา รู้สึกว่ารอบๆตัวเขานั้นจะมีแต่แสงสีขาวเต็มไปหมดจะเดินไปทางไหนก็มีแต่แสงสีขาวอย่างเดียวไม่มีใครอยู่เลยนอกจากตัวเขาเพียงคนเดียว
"ที่นี้มันที่ไหนเนี่ย?"
ชายหนุ่มผมยาวได้พูดขึ้นอย่างลอยๆพลางเดินสำรวจไปด้วย เขารู้สึกว่าสถานที่นี้มันต่างกับสถานที่ที่เขาเคยได้อยู่ก็คือความมืดอย่างโดยสิ้นเชิงทั้งรู้สึกอบอุ่นและมีสายลมพัดผ่านมาเป็นช่วงๆ
แต่แล้วได้บางสิ่งบางตกลงมาจากเบื่องบนลงมาปักอยู่ตรงหน้าธนรัตน์เป็นอาวุธขนาดใหญ่ที่รูปทรงคล้ายพระจันทร์ครึ่งเสี้ยวสีเงินเงาวาว ธนรัตน์ตกใจนิดๆเมื่ออาวุธชิ้นนี้ตกลงมาอยู่ตรงหน้าเขา
"...จงรับไปสิ...ข้าได้เลือกเจ้า..."
เสียงประหลาดๆคล้ายเสียงของเด็กผู้หญิงที่ดังก้องกังวานจากไร้ทิศทางที่ธนรัตน์คุ้นเคยเป็นอย่างดีเมื่อตอนที่เขาอยู่ในความมืด
"แล้ว...แล้ว...อะไรกันน่ะทำไมเธอถึงให้ของสำคัญๆอย่างนี้กับฉันกันเนี่ยแล้วฉันทำไมถึงเป็นผู้ที่ถูกเลือกล่ะ ฉันไม่เห็นจะเข้าใจเลย?"
ธนรัตน์ได้เอ่ยถามเสียงนั้นด้วยความสงสัยว่าทำไมต้องเป็นฉัน
"...ทำไมน่ะเหรอ...เพราะว่าข้า....ได้เลือกเจ้ายังไงล่ะ...เจ้าน่ะมีคุณสมบัติที่ข้าต้องการครบถ้วน...จงรับไปสิ..."
เสียงประหลาดๆคล้ายเสียงของเด็กผู้หญิงที่ดังก้องกังวานจากไร้ทิศทางอีกครั้ง
"รู้แล้วว่าเธอเลือกฉัน แต่ว่าทำไมต้องเป็นฉันกัน ฉันเองก็ไม่มีคุณสมบัติที่เธอต้องการเลยนะ ฉันน่ะไม่เก่งฟันดาบเหมือนกับอัศวิน ร่ายกายของฉันก็อ่อนแอเกินกว่าที่จะสู้กับใครๆได้ ฉันไม่เห็นเข้าใจความคิดของเธอเลย เธอคิดอะไรกันแน่"
ธนรัตน์พูดขึ้นเพื่อที่จะรู้ให้ได้เลยว่า 'ทำไม'
"...ซักวันเจ้าก็จะรู้เองว่าทำไม...แต่ว่ามันไม่มีเวลาแล้ว...เจ้าจงรับอาวุธชิ้นนี้ไป...ก่อนที่อะไรๆจะสายเกินแก้นะ...ข้าคงอยู่ที่นี้ต่อไปไม่ได้แล้ว...ข้าไปก่อนล่ะ"
เสียงประหลาดๆคล้ายเสียงของเด็กผู้หญิงที่ดังก้องกังวานจากไร้ทิศทางอีกครั้งก่อนที่จะเงียบกริบไป
"ดะ...เดี๋ยวก่อนฉันยังไม่เข้าใจเลยนะเดี๋ยวอย่าเพิ่งไปสิ"
ธนรัตน์ตะโกนเรียกให้เสียงประหลาดกลับมาคุยกันให้รู้เรื่องแต่ทว่าไม่มีเสียงตอบรับเลยเหลือแต่อาวุธขนาดใหญ่รูปร่างคล้ายจันทร์เสี้ยวที่ปักอยู่ตรงหน้าเขา
ชายหนุ่มผมยาวยืนจ้องมองอาวุธที่ปักอยู่ตรงหน้าด้วยสีหน้าที่ว่า'จะเอายังไงกับมันดี' ก่อนที่เขาจะตัดสินใจ
"งั้นเหรอ แค่รับอาวุธชิ้นนี้ใช่มั้ย? แม้ตอนนี้ฉันยังไม่เข้าใจความคิดของเธอเท่าไหร่...แต่ยังไง...ไม่รู้ล่ะเป็นไงเป็นกัน"
ว่าแล้วธนรัตน์ได้หยิบอาวุธชิ้นนี้ขึ้นมา
จากนั้นได้มีอะไรบางอย่างพุ่งเข้าไปในสมองของธนรัตน์ทำให้เขารู้สึกเจ็บแปล็บๆขึ้นมาไม่ถึงกับเจ็บจนหมดสติจนเขาต้องเอามือมากุมหน้าผากเอาไว้
อึดใจนั้นเองแสงสีขาวอันกว้างใหญ่ได้ถูกอาวุธชิ้นนี้ดูดกลืนเข้าไปอย่างรวดเร็วและเบื่องหลังของแสงสีขาวคือสถานที่ที่ธนรัตน์ถูกพวกอันพาลทำร้ายนั้นเอง ธนรัตน์รอบสำรวจรอบๆตัวเห็นพวกอันพาลอยู่ในอาการตกตะลึงเมื่อได้เห็นธนรัตน์ลุกขึ้นพร้อมกับอาวุธขนาดใหญ่ที่คล้ายจันทร์เสี้ยว
"หนอย...แค่ของกิ๊กก๊อกพวกนี้จะทำอะไรเราได้ พวกเรารุมมัน"
ว่าแล้วชายคนนั้นได้สั่งการพวกของเขาให้ไปจัดการธนรัตน์ แต่เหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นต่อไปนี้มันเร็วมาก
พวกของอันพาลคนหนึ่งได้พุ่งกำปั้นไปที่ธนรัตน์ แต่ธนรัตน์ได้เบี่ยงตัวหลบกำปั้นพวกมันได้แล้วเขาฟันเข้าไปที่ลำตัวอันพาลคนนั้นให้เกิดรอยแผลที่เกิดจากการถูกฟันโดยไม่ลึกมากนักแค่ทำให้รู้สึกเจ็บปวดก็พอ แล้วก็ทำกับพวกของมันอีกที่เหลือจนพวกมันวิ่งหนีไปจนหมด เหลือแต่ชายคนนั้นที่พยายามตัดสินใจว่าจะหนีหรือไม่หนีดี แต่แล้วยังไม่ทันที่จะตัดสินใจส่วนที่ปลายแหลมของอาวุธชิ้นนั้นก็ได้จ่อไปที่ลำคอเข้าแล้ว
ชายผู้นั้นยื่นแข็งท่อเหมือนไม่กล้าขยับแม้แต่นิดเดียว ถ้าขยับแล้วหัวของเขาอาจจะหลุดออกจากบ่าก็เป็นได้
"อ้ากกกก....อย่าทำเราเลยน้า เรากลัวแล้ว เรากลัวแล้วต่อไปนี้เราจะไม่ทำอย่างนี้อีก... "
ชายคนนั้นร้องลั่นแล้วก็วิ่งหนีจากไปเหมือนหนีตายอะไรซักอย่างเอาเป็นเอาตาย
ส่วนธนรัตน์ได้ยืนอึ้งกับอาวุธชิ้นนี้ ธนรัตน์ไม่เคยสู้กับใครมาก่อน ไม่เคยฟันดาบ ไม่เคยชกต่อยกับใคร แต่พอได้สัมผัสกับอาวุธชิ้นนี้แล้ว ความรู้สึกของเขาตอนนี้ก็คือความเคยชินเหมือนเคยใช้มันมาก่อนและใช้ได้อย่างชำนาญด้วย เหมือนกับว่าเคยใช้อาวุธชิ้นนี้มาตั้งนานแล้วอะไรประมาณนั้น ส่วนเสียงประหลาดๆคล้ายเสียงของเด็กผู้หญิงผู้นั้นที่บอกไปว่า "...ซักวันเจ้าก็จะรู้เองว่าทำไม...แต่ว่ามันไม่มีเวลาแล้ว...เจ้าจงรับอาวุธชิ้นนี้ไป...ก่อนที่อะไรๆจะสายเกินแก้นะ...ข้าคงอยู่ที่นี้ต่อไปไม่ได้แล้ว...ข้าไปก่อนล่ะ"คืออะไรกันแน่นะ ประโยคนั้นยังคงติดตรึงภายจิตใจของเขา
"เป็นไงบ้างล่ะ ชอบใช่ไหมล่ะเจ้านี้มันมีชื่อว่ามูนไลท์นะ ถ้าเจ้าชอบข้าก็จะให้..."
เสียงที่คุ้นเคยของธนรัตน์ได้ดังขั้นจากข้างหลังของเขาจนธนรัตน์ต้องไปหาต้นเสียงนั้น
"วิศุทธ์!?"
ธนรัตน์ร้องเสียงหลง
"ใช่ข้าเอง...แต่ว่าข้ามีเรื่องที่ข้าจะร้องเจ้าหน่อยนะ?"
วิศุทธ์ได้เอ่ยขึ้น
"ครับๆๆ แล้วมีอะไรให้ฉันช่วยเหรอครับ?"
ธนรัตน์ตอบพร้อมกันพยักหนาเหมือนพร้อมที่จะช่วยเขาทุกเมื่อ
"งั้นก็ดี...ข้าอยากให้เจ้ามาร่วมมือกับองค์กรลับของข้าหน่อยนะ ตอนนี้ทางข้าก็กำลังหาคนอย่างเจ้าที่เข้ามาทำงาน เป็นงานที่เจ้าทำได้อยู่แล้ว ข้ามั่นใจได้ แล้วตอนนี้ข้ารู้ว่าจะกำลังหาเงินอยู่ใช้ไหมล่ะ? ไม่ชอบก็ไม่เป็นไรนะข้าไม่ขัดใจเจ้าอยู่แล้ว"
วิศุทธ์กล่าวคำขอร้องขึ้น ซึ่งเขากลัวว่าธนรัตน์จะตอบปฏิเสธไป แต่ธนรัตน์ยิ้มแล้วพยักหน้าขึ้น
"ตงลงครับ...ฉันจะเข้าร่วมกันคุณวิศุทธ์นะครับก็เท่ากับว่าผมก็ตอบแทนที่คุณวิศุทธ์ได้ช่วยผมก่อนหน้านั้นไว้อะครับ"
ธนรัตน์ตอบตกลงซึ่งเป็นคำตอบที่ดีสำหรับวิศุทธ์อย่างเขา
"งั้นข้าก็ต้องเจ้าเป็นอย่างมากนะที่มาร่วมมือกับข้า งั้นข้าก็ให้ภารกิจแรกของเจ้าเลยละกัน"
วิศุทธ์พูดขึ้นแล้วให้ของบางอย่างให้กับธนรัตน์ซึ่งเป็นจี้สร้อยคอรูปดาบที่สวยงาม
"อ๊ะ...นี้เครื่องรางอีกชิ้นนะ จงนำไปให้เพื่อนสนิทที่สุดของเจ้านะ"
พอพูดจบก่อนที่คุณวิศุทธ์จะเดินจากไปนั้นเอง
"เออ...คุณวิศุทธ์ครับผมมีเรื่องอยากจะถามหน่อยอะครับ?"
"อืม...ได้สิแล้วจะถามอะไรล่ะ?"
"เออ...คือ...กำไรที่คุณให้ผมมาน่ะครับ...มันยังไงกันแน่อะครับผมเองยังไม่เห็นเข้าใจเลย...แล้วทำไมพอผ