in the city

in the city

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

นี่มันก็เกือบจะสองปีสามปีได้แล้วที่ตาจันตัดสินใจทิ้งไร่ทิ้งนาที่บ้านนอกเพื่อมาตายเอาดาบหน้าในกรุงเทพฯพร้อมกับหลานชายวัยสิบขวบ ด้วยเหตุผลสามัญของเกษตรกรไทยหรือที่ใครๆเขายกย่องให้ว่าเป็นกระดูกสันหลังของชาติคือหนี้สินก้อนโตที่ตาจันเอาที่นาของบรรพบุรุษไปจำนองเอาไว้กับธนาคารเผื่อแลกเปลี่ยนเป็นค่าปุ๋ยค่าเมล็ดพันธุ์แต่จะไปหวังอะไรกันเล่ากับผลผลิตที่ต้องอาศัยดินฟ้าอากาศเป็นตัวกำหนดยิ่งยุคนี้สมัยนี้ก็เอาแน่เอานอนอะไรไม่ได้กับฝนกับฟ้า งานหนักในไร่มันไม่ได้ช่วยให้ตาจันลืมตาอ้าปากได้เหมือนกับคนอื่นๆเค้าแม้ว่าจะขยันขันแข็งแค่ไหนก็ตามที ผลผลิตที่เก็บเกี่ยวนับวันยิ่งได้น้อยลงแถมราคาที่ได้จากพ่อค้าคนกลางก็ถูกแสนถูกมันช่างต่างกับดอกเบี้ยเงินกู้ที่นับวันยิ่งเติบโตเจริญงอกงามจนตาจันเริ่มท้อใจ ' เอาวะลองดูซักตั้ง ' ตาจันบอกกับตัวเองก่อนตัดสินใจเดินทางจากบ้านเกิดที่อยู่มานานเกือบทั้งชีวิต

ที่นี่เป็นโลกใหม่สำหรับสองชีวิตต่างวัย กรุงเทพฯเมืองหลวงที่แออัดคับคั่งไปด้วยผู้คนมากหน้าหลายตาหลายเชื้อชาติมหานครที่กว้างใหญ่เต็มไปด้วยตึกสูงระฟ้าเทคโนโลยีต่างๆนาๆที่ถูกพัฒนาไปเรื่อยๆโดยไม่มีที่สิ้นสุดแต่แปลกก็ตรงที่มันไม่ได้ช่วยทำให้ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของคนเราบางคนพัฒนาตามไปด้วยลองหาตัวอย่างดูเอาง่ายๆจากกลุ่มบุคคลที่มีอำนาจบางพวกบางกลุ่มตามสื่อที่มีอยู่อย่างดาษเดื่อนในประเทศนี้ที่ปากก็บอกว่าทำเพื่อชาติๆแต่เบื้องหลังก็กอบโกยทุกสิ่งทุกอย่างเผื่ออำนาจและผลประโยชน์ของตัวเองกับพวกพ้องทั้งนั้น คำว่าเศรษฐกิจพอเพียงคงมีความหมายแค่เฉพาะคนบ้านนอกคอกนาตาดำๆอย่างตาจันเท่านั้น แต่ถึงยังไงเมืองใหญ่ๆอย่างกรุงเทพฯก็เป็นแหล่งขุดทองของคนบ้านนอกที่เดินทางเข้ามาด้วยความหวัง ในภาวะที่ท้องไร่ท้องนาไม่อาจให้ผลผลิตได้เพียงพอกับปากท้อง

" ตาครับที่นีมันที่ไหนกันครับ " เด็กชายตื่นเต้นกับสิ่งใหม่ที่เพิ่งเคยพบเห็นตามภาษาเด็กทุกอย่างที่นี้ต่างกับที่ที่เด็กชายจากมายังกับคนละโลก

" อ้าว....ก็กรุงเทพฯไงล่ะไอ้เก่ง " ตาจันตอบพลางเอามือลูบหัวหลานชายอย่างเอ็นดู

เมื่อครั้งที่ตาจันเข้ามากรุงเทพฯใหม่ๆจำได้ว่ากรุงเทพตอนนั้นกรุงเทพวุ่นวายพอสมควรผู้คนมากมายต่างแบ่งพรรคแบ่งพวกเป็นสีนู้นสีนี้บนหัวก็โพกผ้าที่มีคำว่า ' กู้ชาติ ' ตัวใหญ่ๆเขียนอยู่ (อดสงสัยไม่ได้ว่าพวกมึงจะแบ่งแยกกันไปหาสวรรค์วิมานอะไรมิทราบก็ชาติเดียวกันไม่ใช่เหรอวะ) รวมตัวกันออกมาชุมนุม เหตุว่าด้วยบ้านนี้เมืองนี้ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยประชาชนทุกคนมีสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นได้อย่างเท่าเทียมกัน คำว่าประชาธิปไตยแต่ก่อนตาจันไม่ค่อยเข้าใจคำๆนี้เท่าไรนักพึ่งมารู้แจ้งเห็นจริงก็คราวที่เข้ากรุงเทพฯมานี่แหละ ตามความเข้าใจของตาจันประชาธิปไตยก็คือ เมื่อผู้ที่ได้รับเลือกตั้งเข้ามาตามกฎหมายรัฐธรรมนูญของประเทศนี้บริหารงานไม่ถูกใจ ประชาชนก็มีสิทธิ์รวมตัวกันขับไล่ได้โดยไม่มีความผิดทางกฎหมายถึงแม้จะไปยึดนู้นยึดนี้ปิดนั้นก็ตามทีหรือว่าจะไปนอนเล่นในทำเนียบรัฐบาลก็ไม่มีใครว่าอะไร แต่นั้นมันก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับตาจัน ตาจันไม่มีสี ไอ้เก่งหลานชายมันก็ไม่มีสี สิ่งเดียวที่ทำให้ตาจันกับหลานชายมาร่วมด้วยช่วยกันกับคนเหล่านี้ก็คืออาหารและที่พักก็แหมเพื่อนก็เยอะกินฟรีอยู่ฟรีแถมมีดนตรีฟังอะไรจะสบายไปกว่านี้มิน่าหล่ะทำไมคนแถวบ้านตาจันถึงเหมารถเหมาลาเดินทางมาร่วมชุมนุมกับเค้าระหว่างรอเก็บเกี่ยว ถ้ารู้อย่างนี้มาด้วยตั้งนานแล้วมัวโง่อดมื้อกินมื้ออยู่ตั้งนาน

ถึงตอนนี้การชุมนุมจะสิ้นสุดลงไปแล้วแต่ตาจันกับหลานชายก็ยังคงปักหลักใช้สนามหลวงเป็นที่พักพิงมาตลอดจะกลับไปบ้านเกิดบ้างก็เฉพาะช่วงฤดูเก็บเกี่ยวเท่านั้นจนเมื่อไม่กี่วันมานี่เองตาจันจำใจต้องพาหลานชายไปหาที่พักใหม่เมื่อรัฐบาลมีนโยบายต้องการจะปรับปรุงทัศนียภาพของสนามหลวงไม่ให้คนเร่ร่อนเข้าไปพักอาศัยได้เหมือนแต่ก่อนคิดดูเถอะครับไล่แม้กระทั้งนกราบ การเดินทางของชีวิตเริ่มต้นอีกครั้งตาจันจำไม่ได้แล้วว่านี่เป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วที่ต้องพาหลานชายเร่รอนอยู่อย่างนี้

" ตรงนั้นเค้าเรียกว่าอะไรครับตา" เด็กชายถามขึ้นด้วยความสงสัยขณะยืนรอรถเมล์อยู่ที่ป้ายแถวๆถนนราชดำเนินไม่ไกลกันนั้นเป็นที่ตั้งของอาคารหลังใหญ่แห่งหนึ่ง

" ที่นั้นนะเหรอเค้าเรียกว่าศาลฎีกาคือศาลสูงสุดในการพิจรณาตัดสินคดีความยังไงหล่ะจำไว้นะหลาน"

" เอ๊ะตา" เด็กชายหยุดคิด "แล้วมันใช่ที่เดียวกันกับศาลที่เป็นข่าวว่าถูกวางระเบิดเมื่อวันก่อนหรือป่าวครับ"

" ก็ที่เดียวกันนะแหละแต่อย่าไปมีเรื่องมีราวอะไรกับเขานะดีแล้ว "

อากาศโดยรอบร้อนอบอ้าวเด็กชายเหม่อมองไปตามท้องถนนทำไมรถลามันถึงได้เยอะแยะมากมายขนาดนี้ไม่เหมือนกับที่บ้านนานๆทีถึงจะมีมาให้เห็นซักคันช่วงเวลาเดียวกันกับเสียงแตรรถที่ดังสนั่นหวันไหวไปทั้วทั้งบริเวณเมื่อชายคนหนึ่งกุลีกุจอวิ่งข้ามถนนไปโดยไม่ยอมรอสัญญาณไฟจนเกิดการจราจลทางเสียงขึ้นเล็กน้อย

" ตาครับทำไมคนถึงไม่ยอมข้ามทางม้าลายกันล่ะ " เด็กชายไม่เข้าใจ

" อืม...หลานอย่าเอาเยี่ยงอย่างคนพวกนั้นนะเราต้องอยู่ในกฎเกณฑ์ของสังคมและที่รถมันติดอยู่ทุกวันนี้ก็เพราะคนเรานี่แหละที่ไม่ยอมเคารพกฏจราจร " ตาจันหยุดถอนหายใจ

" รถเมล์มาแล้วเตรียมตัวนะ "

ในขณะที่รถเมล์สายที่ต้องการกำลังจอดเข้าป้ายอย่างเนิบนาบแน่นอนว่ามันต้องเป็นรถโดยสารฟรีจากภาษีของประชาชนอย่างแน่นอน ตาจันจูงมือหลานชายเอาไว้ใกล็ตัวเกรงว่าจะถูกคนอื่นเหยียบเข้าเพราะภาพที่เห็นคือคนจำนวนมากไม่ว่าหญิงหรือชายกำลังเบียดเสียดยัดเยียดกันอยู่ที่ทางขึ้นโดยพร้อมเพียงกันชั่วโมงนี้เวลานี้ในหัวของพวกเขาเหล่านั้นคงไม่มีใครมาคอยคิดถึงมารยาทระหว่างชายหญิง

" ทำไมคนถึงต้องแย่งกันขึ้นด้วยล่ะครับตา " เด็กชายอดสงสัยกับภาพที่เห็นตรงหน้าไม่ได้

" ช่างถามซะจริงรีบขึ้นไปเร็วเข้าเหอะต้องไปทำงานกันแล้วเดี๋ยวจะไม่ทันเอานะ "

รถเมล์วิ่งออกจากป้ายด้วยความเร็วจนทำให้ตาจันตกใจอยู่ไม่ใช่น้อย อยากรู้จังเลยว่าชายที่นั้งอยู่หลังพวงมาลัยนั้นจะเดือดเนื้อร้อนใจคิดเป็นห่วงเป็นใยชีวิตนับสิบชีวิตที่ต้องพึ่งพาเขาอยู่หรือเปล่าเมื่อตาจันมาสัมผัสด้วยตัวเองก็เข้าใจได้ทันทีเลยว่าทำไมมันถึงมน้าหนังสือพิมพ์อยู่บ่อยๆกระเป๋ารถคันนี้ก็เหมือนกันตะโกนโหวกเวกโวยวายอยู่ได้ตลอดเวลาภาษาที่ใช้มันก็ไม่รื่นหูคนฟังเท่าไรนักไม่น่าเชื่อว่าคนประเภทนี้จะมาทำงานให้บริการได้ โชคยังดีที่บนรถยังพอมีที่ว่างให้ตาจันกับหลานชายได้นั้งไม่ต้องทนยืนจนขาแข็งยืนไปจนถึงที่หมาย

" คนที่นี้เค้ารีบร้อนกันจังเลยนะตาไม่เหมือนกับที่บ้านเราเลย "

" มันก็ต้องดิ้นรนกันแบบนี้แหละ " ตาจันตอบพร้อมกับทอดสายตาออกไปนอกหน้าต่างอย่างไร้จุดหมาย

คำว่า ' ดิ้นรน ' ตาจันรู้จักและเป็นเพื่อนรักกับคำๆนี้มานานแสนนานเพราะทั้งชีวิตตั้งแต่เกิดมาหนุ่มจนแก่ตาจันก็มีคำๆนี้เคียงข้างอยู่ด้วยเสมอมาไม่ว่าจะเป็นเวลาที่ตาจันเหนื่อยท้อแท้และสิ้นหวังคำๆนี้จะคอยปลอบประโลมให้ตาจันต่อสู้กับชีวิตอย่างไม่ย้อท้ออาจจะอยู่ด้วยกันไปตลอดจนกว่าจะสิ้นชีวิต คนเราถ้าวันนี้ยังหายใจอยู่วันพรุ่งนี้ก็ยังมีความหวังอยู่เสมอถึงแม้จะต้องรอต่อไปตลอดทั้งชีวิต ตาจันเข้าใจมันดี รถโดยสารลดความเร็วลงเมื่อจอดที่ป้ายถัดมาและรับผู้โดยสารใหม่ขึ้นมาจนเต็มคัน

" ขึ้นใหม่ขอค่าโดยสารด้วยแล้วข้างหน้าอะเดินเข้ามาข้างในหน่อยไม่ได้หรือไงไปยืนเบียดกันอยู่ได้ " เสียงกระเป๋ารถตะโกนขึ้นมาขณะแทรกตัวมาตามทาง

ถึงตอนนี้บนรถจะแน่นขนัดไปด้วยผู้คนมากมายแต่คนขับก็ยังรักษาความเร็วระดับนักแข่งรถมืออาชีพได้อย่างน่าชื่นชม ตาจันกำลังนั้งคิดอะไรต่างๆนาๆไปเรื่อยเปื่อยพลันสายตาก็เหลือบไปพบเข้ากับหญิงสาวรายหนึ่ง หญิงสาวรายนี้จะสวยถูกใจตาจันหรือเปล่าอันนี้ไม่รู้ด้วยอายุอานามก็ปาเข้าไปปูนนี้แล้วตาจันก็คงจะไม่มีความคิดเช่นนั้นเรื่องนี้ไม่ใช่ประเด็นสำคัญแต่ประเด็นสำคัญมันอยู่ที่เธอคนนั้นกำลังท้อง หญิงสาวท้องโย้ยีนโหนรถเมล์คงเป็นภาพที่ไม่น่าดูเท่าไหร่นักตาจันจึงบอกให้หลานชายมานั้งบนตักของตนและเรียกเธอให้มานั้งด้วยกันข้างๆเธอขอบคุณในความมีน้ำใจ

อากาศภายนอกตอนนี้จากที่เคยร้อนอบอ้าวพลันเปลี่ยนเป็นครึ้มฟ้าครึ้มฝนไม่นานเท่าไหร่นักก็ตกลงมาประปรายบนรถมีเสียงบ่นถึงสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงบ่อยให้ได้ยินจนหนาหู

" ตาครับทำไมคนกรุงเทพถึงไม่ชอบฝนกันล่ะครับ "

" ทำไมนะเหรอ....เพราะฝนทำให้น้ำท่วมรถติดไปมาไม่สะดวก "

" แต่ฝนทำให้คนกรุงมีข้าวกินนะตา " เด็กชายพูดด้วยท่าทางที่แฝงความสงสัย

ตาจันหัวเราะเบาๆกับความไม่ภาษาของหลานชายก่อนตอบอย่างเป็นปริศนา

" สมัยนี้เขาไม่กินข้าวกันแล้วล่ะ "

"อ้าว..ถ้าอย่างนั้นเขากินอะไรกันล่ะตา" เด็กชายสงสัย

" เขาเรียกว่า 'Fast Food' แปลว่าอาหารจานด่วนแต่มันก็ไม่อิ่มท้องเหมือนกับกินข้าวหรอก " ตาจันเริ่มอธิบาย " มันเป็นค่านิยม "

" อะไรคือค่านิยม "

ตาจันจนใจในคำตอบหรือไม่ก็เหนื่อยที่จะตอบคำถามของหลานชายจอมเซ้าซี้คนนี้เลยบอกให้ไปถามเอากับหญิงสาวที่นั้งอยู่ข้างๆเมื่อหันไปก็พบว่าเธอหลับไปแล้ว ตาจันมองดูเธออย่างปลงตก คงจะเพลียมั้งคนกำลังท้องกำลังใส้ก็ยังต้องทำงานเลี้ยงปากเลี้ยงท้องไม่มีวันหยุด ตาจันคิดในใจ ฝนหยุดตกไปนานแล้วตาจันจึงจับมือหลานชายลุกขึ้นเดินไปบอกกับกระเป๋ารถเมื่อเห็นว่าได้เวลาที่จะต้องลงกันแล้ว สภาพอากาศหลังฝนตกยังคงเย็นสบายถึงแม้เวลานี้จะเลยเที่ยงวันมานิดหน่อยก็ตาม ทั้งสองเดินเรื่อยมาตามทางเท้าและหยุดแวะพักบนมานั้งหินอ่อนไม่ไกลจากป้ายรถเมล์เท่าไหร่นักตาจันหยิบยาเส้นม้วนด้วยใบจากขึ้นจุดสูบช้าๆอย่างสบายใจ

" ตาครับ....ธนาคารเขาจะยึดที่นาของเราเมื่อไหร่ครับนี่มันก็เลยกำหนดมาตั้งนานแล้วนี่นา "

ตาจันนั้งนิ่งไปครู่หนึ่งยกยาเส้นที่เหลือเพียงครึ่งขึ้นสูบอีกครั้ง

" นาเรามันแล้งมาได้สองปีแล้วนะแถมปีนี้ข้าวก็ยังขายไม่ค่อยได้ราคาอีกหนี้สินมันก็เลยพอกพูนขึ้นมาเรื่อยๆ " ตาจันถอนหายใจแรงๆออกมาหนึ่งครั้งหลังพูดจบก่อนหันมายิ้มให้กับหลานชาย

" แล้ววันนี้เอ็งได้มาเท่าไหร่ล่ะ "

" คิดว่าคงจะหลายพันอยู่นะตา " เด็กชายหยิบเงินปึกหนึ่งในกระเป๋ากางเกงออกมาให้ดู "ของน้าคนท้องน่ะผมเอามาจนเกลี้ยงเลยส่วนไอ้กระเป๋ารถเมล์มีอยู่แค่ห้าสิบบาทเอง"

" เก่งมากไอ้หลานรักทนอีกหน่อยนะอีกไม่กี่เที่ยวเราก็จะมีเงินไปไถ่ที่นาแล้ว" ตาจันยิ้มอย่างมีความสุข

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook