ติสต์..เหลือร้าย? ซันนี่ สุวรรณเมธานนท์

ติสต์..เหลือร้าย? ซันนี่ สุวรรณเมธานนท์

ติสต์..เหลือร้าย? ซันนี่ สุวรรณเมธานนท์
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ซันนี่ สุวรรณเมธานนท์

4-5 ปีก่อนกระทั่งถึงตอนนี้ เขาถ่ายโฆษณาไม่กี่ชิ้น เล่นมิวสิควิดีโอไม่กี่เพลง ภาพยนตร์ก็มีแค่ 2 เรื่อง แถมด้วยซิทคอม 1 เรื่อง และพิธีกรอีก 1 รายการ แต่ "ซันนี่ สุวรรณเมธานนท์" หนุ่มหน้าใสวัย 28 ก็ดังแบบฉุดไม่อยู่ "ผมไม่ได้คิดว่าต้องทำงานเพื่อให้คนเห็นหน้าเยอะๆ ผมอยากทำอะไรแล้วผมค่อยทำมากกว่า" เป็นคำตอบซึ่งออกมาพร้อมยิ้มกวนๆ ตามสไตล์ซันนี่ ซันนี่ สุวรรณเมธานนท์ซันนี่เป็นลูกคนสุดท้องของคุณพ่อ "เพ็ชร์รัตน์" ลูกครึ่งไทย-สิงคโปร์ อดีตกัปตันสายการบินเอกชนแห่งหนึ่ง กับคุณแม่ "มาจอลิน" สาวฝรั่งเศสลูกทูตทหาร มีพี่สาว "ภาวินี" และพี่ชาย "ไมเคิล" "ผมเป็นลูกหลงครับ ห่างจากพี่ๆ 6-7 ปี ตอนท้องผมแม่ก็ท้องนอกมดลูกอีก..ดีที่รอดมาได้" ซันนี่พูดกลั้วหัวเราะ ซันนี่เรียนชั้นประถม-มัธยมปีที่ 3 ที่โรงเรียนพระมหาไถ่ศึกษา แล้วต่อมัธยม 4-6 ที่โรงเรียนสุรศักดิ์มนตรี ก่อนจบการศึกษาขั้นปริญญาตรี คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ (เอแบค) ชีวิตสะดวกสบายตั้งแต่เด็ก แต่พอย่างเข้าสู่ชั้นมัธยมเริ่มลำบากเพราะที่บ้านทำธุรกิจบริษัททัวร์แล้วถูกโกง ครอบครัวฐานะย่ำแย่ถึงขั้นไม่มีเงินจ่ายค่าไฟ เริ่มตั้งหลักได้อีกครั้งก็เมื่อไม่กี่ปีมานี้ หน้าตาจัดว่าเข้าขั้นดี แมวมองจึงชวนมาเล่นหนังสมัยเรียนอยู่มหาวิทยาลัย แจ้งเกิดเปรี้ยงปร้างก็จากบท "ไข่ย้อย" ในภาพยนตร์เรื่อง "เพื่อนสนิท" เมื่อปี 2548 หลายต่อหลายคนออกความเห็น-ตัดสินว่าชายหนุ่มคนนี้ "โลกส่วนตัวสูง" บ้างก็ว่า "ติสต์เหลือหลาย" แต่... "เพื่อนที่ผมรู้จักก็ไม่เคยมีใครบอกแบบนี้นะ มีแต่บอกว่าผมเอาแต่ใจ ดื้อ ปากไม่ดี นิสัยเสีย ขี้หงุดหงิด ขี้โมโห..แบบนี้จะได้ยินบ่อยมาก" หนุ่มมาดเซอร์บอก พลางทำหน้าตาจริงจังชวน (ให้) เชื่อ จะ "ติสต์" หรือ "ไม่ติสต์" ไม่อาจตัดสินได้จากแง่ใดแง่หนึ่งที่เขาแสดงออก และเช่นกันที่ไม่อาจตัดสินได้ทันทีจากการให้สัมภาษณ์ยาวกว่า 1 ชั่วโมงที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะของเขา ต่อไปนี้ น่าจะทำให้รู้จักตัวตนของ "ซันนี่ สุวรรณเมธานนท์" มากขึ้น ซันนี่ สุวรรณเมธานนท์ชีวิตวัยเด็ก? ผมเป็นเด็กไม่เกเรนะ อยู่ในโอวาทตลอด มาดื้อเอาตอนโตนี่แหละ (หัวเราะ) ชีวิตสะดวกสบายดี มีรถหลายคัน พ่อแม่ไปรับไปส่งตลอด เวลาแม่ไปส่งที่โรงเรียนจะชอบหอมแก้ม ลิปสติคติดแก้มจนครูกับเพื่อนแซว ผมก็เขินสิ จนถึง ม.ต้น ก็อยากเท่ อยากกลับบ้านเอง ไม่เอาแล้วแม่มารับ..อายมาก มารู้สึกทีหลังว่าควรจะให้แม่มารับ เพราะลำบากมากเลย ต้องต่อรถเมล์หลายต่อ..เซ็ง (หัวเราะ) ที่บ้านทำธุรกิจแล้วถูกโกง? ครับ ตอนเรียนมัธยม ต้องย้ายบ้านเพราะบ้านที่อยู่แพง ถูกฟ้องล้มละลาย แต่พ่อแม่จะไม่ค่อยแสดงให้ลูกเห็นว่าเครียด เคยกลับบ้านแล้วไฟดับทั้งบ้าน ผมก็ถามแม่ว่าเกิดอะไรขึ้น แม่บอกว่าเขามาตัดไฟเพราะไม่มีตังค์จ่าย ตอนมหาวิทยาลัยผมก็ยังไม่มีตังค์เรียน พี่ก็กดดัน บอกว่าที่บ้านส่งให้เรียนแต่ไม่เห็นทำอะไรเลย จนได้มาเล่นดนตรี ได้เงินมาใช้ในชีวิตประจำวัน เรื่องถูกโกงตอนนั้นเป็นเรื่องที่คิดว่าหนัก แต่มองกลับไปก็ดีแล้ว เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตที่ผมเจอและทำให้ผมเป็นอย่างทุกวันนี้ ถ้าไม่เจออะไรแบบนี้ผมอาจเป็นอีกอย่างก็ได้ ตอนนี้ที่บ้านก็ทำธุรกิจบริษัททัวร์เหมือนเดิม ยังไม่ดีมาก แต่ก็ดีกว่าช่วงนั้นเยอะ ช่วงแย่ๆ มีอะไรยึดเหนี่ยวจิตใจ อืม..เมื่อก่อนผมนับถือคริสต์ แต่ตอนนี้ไม่ได้นับถือศาสนาอะไร ผมเสียศรัทธาแค่ว่าเกิดเรื่องไม่ดีกับบ้านผม แล้วไม่เห็นจะมีใครบินลงมาช่วย แม่ผมก็ไม่ใช่คนไม่ดี เขาสวดภาวนาตลอด แล้วทำไม..ก็ต้องพึ่งตัวเอง ผมเข้าใจในหลักคำสอน และไม่ได้ลบหลู่ เพียงแต่ผมไม่พึ่งใคร ผมพึ่งตัวเอง แต่ถ้าเจอผีก็ตัวใครตัวมันล่ะฮะ (หัวเราะ) ถ้าถามว่าตอนนี้หลักยึดเหนี่ยวจิตใจของผมคืออะไร ผมว่าเป็น "จิตสำนึก" กับ "ความดี" แค่นั้นครับ เรื่องที่ผมมั่นใจและภูมิใจที่สุดในชีวิตคือเรื่องจิตสำนึก ผมว่าผมเป็นคนจิตสำนึกดี ผมเถียง ดื้อ เอาแต่ใจ นิสัยเสีย..แต่ผมจิตสำนึกดี ใครจะว่าผมยังไงก็ได้ แต่ถ้าจะมาหาว่าผมติดยา หรือหาว่าผมเป็นคนเลว ผมจะถือว่าดูถูกมาก..กกก.. สนิทกับครอบครัว? ตอนเด็กจะไม่ค่อยได้เจอพ่อแม่..เหมือนละครหน่อยๆ ทุกวันศุกร์แม่จะมีขนม มีวิดีโอการ์ตูนมาให้ 10-20 เรื่อง แต่ไม่ค่อยได้เจอตัว ก็เข้าใจว่าเขาทำงานหนัก แต่ผมสัมผัสได้ว่าเขารักผม คือเรื่องอย่างนี้ต้องอยู่ที่ตัวเราเองด้วย ถ้าเราไม่คิดว่าเราขาด เราก็ไม่ขาด ผมไม่เชื่อข้ออ้างที่ว่าขาดความรักความอบอุ่นแล้วไปติดยา พ่อผมเป็นคนเฉยๆ ส่วนแม่จะอารมณ์ดี ผมกับแม่เป็นเหมือนเพื่อนกัน เถียงกันบ่อยด้วย (หัวเราะ) แม่ผมเจ้าระเบียบมาก เห็นอะไรวางผิดที่เป็นต้องหยิบไปวางให้เรียบร้อย บางทีก็บ่นผมเรื่องกลับบ้านดึกๆ ดื่นๆ แล้วไม่บอก อีกอย่างเขาชอบพูดภาษาไทยเพี้ยนวรรณยุกต์ อย่าง "ต้มข่าไก่" เขาก็จะพูด "ต้มค้าาาไก่" ผมก็จะให้แม่ทำตาม "ออกเสียงอย่างนี้นะ..ต้มข่าไก่" แต่สักพักแม่ก็พูดเหมือนเดิม ทุกวันนี้พ่อ แม่ พี่ชาย และผมอยู่บ้านเดียวกัน ยกเว้นพี่สาวที่แต่งงานไปแล้ว แม่ยังดูแลผมอยู่ ยังหอมแก้มอยู่บ้าง (ยิ้ม) ถึงผมจะทำนิสัยเสียแต่ผมก็รักเขามาก เขาไม่รู้หรอก..งอนทุกวัน (หัวเราะ) เรียนนิเทศศาสตร์? ผมเลือกสอบเข้าเอแบค เพราะพี่ผมเรียนที่นั่น เลือกอันดับ 1 เป็นบริหารธุรกิจ อันดับ 2 เป็นนิเทศ กะไว้ว่าต้องติดอันดับ 2 แต่กลายเป็นติดอันดับแรก เลยเรียนไป 1 เทอมแล้วเปลี่ยนคณะ ตอนนั้นไม่มีอะไรอยากทำจริงจัง มีแค่ความคิดของคนอื่นที่มีอิทธิพลต่อเรา อย่างเช่นเราวาดรูปได้ ก็คิดว่าอยากเป็น แต่ผมไม่ค่อยจริงจัง อาจเป็นไปได้ว่าการที่ผมขี้เกียจคือการรอเวลาที่จะเจออะไรสักอย่าง ที่จบเอแบคเป็นพิธีตามมารยาทสังคม เวลาเพื่อนแม่เดินมา แม่จะได้บอกว่าลูกจบแล้ว ไม่ใช่แบบ "ว้ายยย..ลูกยังเรียนอยู่เหรอ.." มีนะครับ ลูกๆ เสียเซลฟ์หมด (หัวเราะ) แล้วการเล่นดนตรี? ผมเห็นพี่ชายเล่นกีตาร์เลยเล่นบ้าง รู้สึกว่าการเล่นดนตรีเป็นช่วงเวลาหนึ่งในชีวิตที่สนุกมาก ไม่ต้องเป็นภาระทางบ้านด้วย ผมยังจำเงินก้อนแรกที่ได้จากการเล่นกีตาร์ได้เลย ได้มา 200 กว่าบาท ไม่รู้ดีใจมั้ย..รู้แต่ว่าสนุกดี ช่วงเล่นกีตาร์ได้ตังค์เยอะนะ บางเดือน 3 หมื่น..ถึงขั้นนั้น ตอนนั้นรู้สึกเหมือนนักมวยได้เหรียญทอง แต่ได้มาสักพักแล้วพอไม่มีงานก็ใช้เงินหมด (ยิ้ม) ผมเคยเลิกเล่นดนตรีไปช่วงหนึ่ง เพราะร้านที่ไปเล่นเขาอยากได้อย่างนู้นอย่างนี้ ทำให้ไม่สนุกกับการเล่นเหมือนเมื่อก่อน เลยขอหยุดดีกว่า เพราะจากรู้สึกดีกับการเล่นดนตรี ไปๆ มาๆ จะกลายเป็นรู้สึกไม่ดี ตอนนี้วงก็ยังไปเล่นตามที่ต่างๆ ชื่อวง "คิงคอง โปรเจ็คต์" แล้วตอนนี้มีเรื่องที่อยากทำจริงจังหรือยัง รู้สึกรักการแสดง รักในอาชีพนี้ (นิ่งไปครู่หนึ่ง) ไม่เคยรู้สึกอย่างนี้เลยตั้งแต่เกิดมา อาจเป็นดวงมาเรื่อยๆ ที่ทำให้ผมเป็นอย่างนี้ ตั้งแต่เล่นเรื่องเพื่อนสนิทแล้วที่ผมรู้สึกอยากไปกองถ่าย อยากทำการบ้าน อยากคิดวิธีที่จะแสดง ทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นการแสดงของผมไม่ใช่การแสดง แต่มันคือสิ่งที่คนเป็นรอบๆ ตัว สิ่งที่เราได้จากการสังเกตพฤติกรรมของคน ปฏิเสธงานภาพยนตร์และละครไปเยอะ? ครับ เพราะผมอยากทำแล้วออกมาดี ต้องดูแล้วชอบ รู้สึกว่าเราทำได้ และไม่ให้คนที่จ้างเราเดือดร้อน แต่ผมไม่ได้อะไรมากมาย เดี๋ยวหาว่าผมเรื่องมากอีก ลีลาอีก (หัวเราะ) ผมไม่ได้คิดว่าอะไรคือประสบความสำเร็จ ถ้าผมอยากทำอะไรแล้วได้ทำ สำหรับผมนั่นก็ดีแล้ว ทำอะไรต้องสนุกกับตัวเอง มีละครติดต่อมาหลายเรื่องเหมือนกัน แต่เล่นไปคนคงด่าเปล่าๆ เพราะไม่ใช่ทางผม ที่รับเล่นซิทคอม "เนื้อคู่ประตูถัดไป" เพราะอ่านบทแล้วชอบ ใช้สัญชาตญาณเลย เหมือนเจอใครแล้วชอบ (ยิ้ม) ตัวละครในเรื่องก็เหมือนตัวผมหลายๆ เรื่อง แต่ผมไม่เจ้าชู้เหมือนในละคร (หัวเราะ) "หนึ่งวันเดียวกัน" ที่ผมเป็นพิธีกร ตอนแรกผมก็บอกว่าผมทำไม่เป็นนะ พี่หาคนอื่นดีกว่ามั้ย แต่เขาก็เอาผม-ผมเป็นพิธีกรเกาะเปอร์ (สุวิกรม อัมระนันทน์) รายการนี้เริ่มถ่ายไปได้ประมาณ 10 เทป ชอบซื้อไหม? ผมไม่ค่อยใช้เงิน เป็นคนขี้งก ซื้ออะไรแพงๆ แล้วรู้สึกเสียดาย ไม่ค่อยมีแบรนด์เนมบนตัวเท่าไหร่ ซื้อเสื้อตัว 200 บาทก็แพงแล้ว อย่างเสื้อตัวที่ใส่อยู่นี่ก็ 130 กางเกง 200 รองเท้าลด 70% เหลือ 400 กว่าบาท ของที่ซื้อมาแพงก็มีกีตาร์ ส่วนทีวีเพิ่งซื้อเป็นของตัวเองได้ไม่กี่เดือน รถไม่มีเพราะขับรถไม่เป็น จะไปไหนก็อาศัยรถแท็กซี่ รถไฟฟ้า รถเมล์บ้างเป็นบางโอกาส แท็กซี่จะบ่อยสุด ขึ้นไปแล้วพี่เขาชอบแซว "แน่ะ..ไปหาสาวล่ะสิ" (หัวเราะ) ผมก็ฮา..พี่จะแซวทำไมเนี่ย ของนอกกายก็มีไว้บ้าง เขาจะได้ไม่ด่าว่าเราจน (หัวเราะ) ดูเป็นคนใช้สัญชาตญาณในการดำเนินชีวิต? ไปเรื่อยๆ เหมือนเสี่ยงดวง ถ้าจะไม่รอดเพราะทำตัวเองผมก็ไม่เสียใจ คนจะมองว่าผมดูเสี่ยงๆ ดูหลักลอย (เน้นเสียง) ดูเลื่อนลอย ไม่ทำอะไรจริงจัง แต่ถ้าผมจะทำอะไรผมก็ทำจริงจัง ผมจะไม่ยอมทำแย่ๆ ออกไป ผมจะทำให้ดีที่สุด และคนที่จ้างผมจะได้งานที่ดีที่สุด ผมไม่รู้จะตายเมื่อไหร่ ไม่รู้จะหมดอนาคตเมื่อไหร่ แต่นี่คือชีวิตผม และผมไม่เคยคิดเสียใจกับสิ่งที่ตัดสินใจทำไปแล้ว อีกอย่าง..ผมรู้สึกว่าถ้าผมไม่จมน้ำตายจริงๆ ก็จะไม่ยื่นมือให้ใครช่วย ไม่ไหวแล้วค่อยยื่นมือ ไม่เชิงหยิ่ง แต่ผมว่าคนเราต้องพึ่งตัวเองก่อน เลยกลายเป็นนิสัยเสียของผมอีกอย่าง คือ ไม่ค่อยเทกแคร์คน ผู้หญิงก็เหมือนกัน เพราะคิดว่าเขาต้องทำด้วยตัวเองอยู่แล้ว..ก็เลยหนีไปกันหมดนี่แหละ (หัวเราะ) จัดการกับเรื่องที่มากระทบตัวอย่างไร? ไม่จัดการครับ ผมรับได้ทุกอย่างไม่ว่าเรื่องอะไร..รับได้ เข้าใจว่าทำไมเขาถึงพูดนู่นนี่ ทำไมคนนี้ต้องด่าผม..ก็ช่างเขา ถ้าผมเป็นเขาผมอาจจะด่าก็ได้ ตอนเด็กๆ เวลามีเรื่องอะไรมาผมจะแบบ "เฮ้ย..ทำไมต้องเกิดอย่างงี้กับฉัน ทำไมๆๆ" พอโตขึ้นก็เหมือนเข้าใจ ผมไม่รู้จะฟูมฟายไปทำไมในเมื่อทุกสิ่งทุกอย่างต้องผ่านไปอยู่แล้ว จะทุกข์ก็ทุกข์ได้..ผมก็ชอบ มันเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต จะสุขตลอดเวลาก็ไม่สนุก ต้องมีความทุกข์ด้วย เวลาทุกข์ฟังเพลงเพราะจะตายใช่มั้ย (หัวเราะ) ความรัก? สำหรับผมเกิดขึ้นยากครับ ความรักที่ผ่านๆ มาคือเรารู้สึกกันได้ ผมเชื่อเรื่องที่เรามองเห็นอะไรดีๆ ในกันและกัน ผมไม่ได้ไปตามจีบหรือไปทำดีเพื่อเขา ถ้ารู้สึกดีต่อกันก็ดี ไม่ต้องเอาใจ ถ้าเขาไม่ต้องการอย่างนั้นก็ช่างเขา เราก็ไปหาคนที่เหมาะกับเรา ผมชอบใครก็ชอบที่ตัวคนนั้น รักใครก็รักคนนั้น ไม่ใช่ใครก็ได้ที่ดีกว่า หรือรักใครที่ทำอะไรเหมือนๆ กับผม บางทีผมก็วิเคราะห์ไม่ถูกว่าเป็นรักหรือเปล่า ผมไม่เชื่อว่าอยู่ดีๆ ใครจะมารักเราขนาดนั้น ใครที่ไม่ใช่ครอบครัวเรา ใครจะมาทำดีกับเรา อยู่กับเราตลอด คืออาจจะมี..แต่ผมไม่เชื่อ ถ้าผมพร้อมจะทำอะไรเพื่อใครก็คงทำ แต่บังเอิ๊ญ..บังเอิญยังไม่รู้สึก คือ..ไม่ใช่สิ่งสำคัญในชีวิตไงครับ ไม่ได้คิดเรื่องความรักเป็นเรื่องแรก ไม่ได้คิดว่าวันนี้จะจีบใคร ไม่ได้ขวนขวาย "คนในวงการก็น่ารักเยอะแยะ อย่าเผลอแล้วกัน..พูดเล่น (หัวเราะ)" ติดตามข่าวสารบ้านเมืองไหม จริงๆ ผมไม่อยากสนใจเรื่องการเมืองเลย เป็นเรื่องของคนสนับสนุนคนบางกลุ่มเพื่อเข้าไปมีอิทธิพลในชาติ เข้าไปโกงชาติ ตีกันเพื่อให้คนคนนึงเข้าไปมีอำนาจเนี่ยนะ เป็นผมไม่ทำแบบนี้ ยกเว้นจะมีใครมาเอาประเทศเราไป แล้วลุกขึ้นสู้ อันนี้โอเค แต่นี่แบบแย่งอำนาจกันไม่ใช่เหรอ.. มองการเมืองไทยเป็นยังไง ยังมีการบังคับให้ไปเลือกตั้งกันอยู่เลยไม่ใช่เหรอ มีที่ไหนในโลกนี้บ้าง มีตัดสิทธิด้วย อย่างงี้ผมซวย ผมลงผู้ใหญ่บ้านไม่ได้ เพราะผมไม่ได้ไปเลือกตั้ง แต่ประชาชนทุกคนควรมีส่วนร่วมทางการเมือง ให้ความรู้เรื่องการเลือกตั้ง หรือให้เรื่องการศึกษาน่าจะดีกว่านะครับ ถ้าจะบอกว่าออกไปเลือกตั้งกันนะ ช่วยประเทศชาติ แต่คุณแค่เกณฑ์คนออกไป ไม่เห็นจะมีอะไรดีขึ้นเลย ความหวังเรื่องการเมือง ไม่มี ผมหวังแค่ไม่ให้คนทะเลาะกัน แล้วก็หวังให้ประเทศดีกว่านี้ การส่งเสริมการศึกษาสำคัญมากเพราะว่ายังไม่ทั่วถึง จริงๆ จิตสำนึกคนเอเชียมีความดีอยู่แล้ว แต่ยังอาจขาดเรื่องการศึกษาทำให้หลงผิดไปได้ สุทธาสินี จิตรกรรมไทย - เรื่อง ชมพูนุท นำภา - ภาพ

อัลบั้มภาพ 4 ภาพ

อัลบั้มภาพ 4 ภาพ ของ ติสต์..เหลือร้าย? ซันนี่ สุวรรณเมธานนท์

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook