ที่มา-ที่ไป ของหมากฝรั่ง

ที่มา-ที่ไป ของหมากฝรั่ง

ที่มา-ที่ไป ของหมากฝรั่ง
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ถ้าพูดถึงเรื่องหมากฝรั่งเชื่อว่าเพื่อนๆ นุก!แคมปัส หลายคนคงจะเคยสัมผัสและลิ้มรสชาติของมันมาแล้วเกือบทุกคน แต่จะมีใครบ้างไหมที่อยากรู้ที่มาที่ไปของเจ้ามาฝรั่งแสนอร่อย เคี้ยวเพลิน วันนี้มีความรู้เรื่องนี้มาฝากครับ...

ตำนานที่ 1

คาดว่ามาจากชาวอินเดียนแดงที่ชอบเคี้ยวยางไม้บางชนิด และแพร่หลายกันมากในหมู่ชาวอินเดียนแดงด้วยกัน แต่จากหลักฐานต่อจากนั้นมีว่า ทหารผู้ที่ริเริ่มการเคี้ยวหมากฝรั่ง มีชื่อว่า นายพล อันโตนิโอ โลเปซ เอก ซานตาอันนา(Antonio López de Santa Anna)แห่งกองทัพเม็กซิโก และเป็นอดีตประธานาธิบดีของเม็กซิโก (ผู้ก่อสงครามกับรัฐเท็กซัส และก่อวีรกรรมชาวป้อมอลาโม) เขาเข้ามาอยู่ในอเมริกา และได้นำยางของต้นไม้ป่าในเม็กซิโกมาด้วย ยางชนิดนี้เป็นยางที่เรียกในภาษาแอซเทกว่า ชิเคิล นายพลซานตาอันนาชอบเคี้ยวยางไม้รสนี้มาก ต่อมา โทมัส อดัมส์นักถ่ายภาพและนักประดิษฐ์ได้ทราบเรื่องการเคี้ยวยางไม้นี้ จึงทดลองนำมาทำเป็นหมากฝรั่งเป็นครั้งแรก ต่อมา โทมัส ได้พยายามเปลี่ยนยางไม้ให้เป็นยางเทียม แต่ก็ล้มเหลว เมื่อเขาหวนคิดว่าหลานของเขาและนายพลชอบเคี้ยวยางไม้ เขาจึงคิดที่จะทำการเปิดตลาดด้านนี้ และประสบความสำเร็จในเวลาต่อมา

นายพลซานตาอันนาหมากฝรั่งในยุคแรกๆของโทมัสเป็นเม็ดกลมๆเล็กๆ ไม่มีรสชาติ มีวางขายในร้านขายยาในเมืองโฮโบเค็น ปี ค.ศ. 1871 โดยขายเม็ดละ 1 เพนนี ต่อมาจึงเริ่มมีการดัดแปลงรูปแบบเป็นแผ่นสี่เหลี่ยม แบนๆ บุคคลที่คิดค้นรสชาติของหมากฝรั่งเป็นเภสัชกรชื่อ จอห์น คอลแกน ในปี ค.ศ. 1875 รสชาติที่เขาเติ่มไปคือ ตัวยาทางการแพทย์ เป็นขี้ผึ้งหอมทูโล ทำจากยางไม้ต้นทูโลในอเมริกาใต้ รสชาติคล้ายกับยาแก้ไอน้ำเชื่อมของเด็กยุคร้อยกว่าปีก่อน เขาเรียกหมากฝรั่งนั้นว่า แทฟฟี่-ทูโล หมากฝรั่งชนิดนี้ประสบความสำเร็จมากกว่า หมากฝรั่งชนิดอื่นที่มีขายในยุคนั้น ต่อมา โทมัส ใช้รสชะเอมเติมในหมากฝรั่ง เรียกชื่อหมากฝรั่งนั้นว่า แบลคแจค ซึ่งเป็นหมากฝรั่งที่มีรสเก่าแก่ที่สุด ที่ยังมีขายในท้องตลาดของอเมริกา ส่วนรสอื่นๆ อาทิเช่น เปปเปอร์มินต์ เป็นรสยอดนิยมในช่วงปี ค.ศ. 1880

หมากฝรั่งที่มีขายในปัจจุบันไม่ได้ทำมาจากยางไม้เหมือนในสมัยก่อน หากแต่เป็นยางสังเคราะห์ที่มีความนุ่มและเหนียว โดยปกติแล้ว มันจะไม่มีรส ไม่มีสี และไม่มีกลิ่น และชื่อก็ไม่ชวนให้กิน แต่คนอเมริกันยังนิยมเคี้ยวหมากฝรั่งที่ทำจากยางสังเคราะห์ถึงปีละ 10 ล้านปอนด์ ซึ่งก็นับว่าเป็นจำนวนมากทีเดียว

ตำนานที่ 2

หมากฝรั่งเกิดจากยางสีขาวขุ่นของต้นไมในตระกูลละมุด (ผลละมุด) นั่นแหล่ะ บางทีเรียกว่า "ซิเคิล" (chicle) ที่ชาวมายันแห่งประเทศเม๊กซิโกนำมาเคี้ยวบริหารฟันบริหารกรามมาแต่โบราณ เป็นหลายศตวรรษย้อนหลัง ในปี ค.ศ.1845 นายชาร์ลส์ อดัมส์ (Charles Adams) เป็นนักประดิษฐ์ชาวอเมริกันได้ยางชิเคิลมา เขาสนใจยางนี้มาก แต่ไม่ใช่เพื่อเคี้ยว หากแต่นำมาทำยางหนังสติ๊ก หน้ากาก รองเท้าบู๊ท หากทว่าสิ่งประดิษฐ์เหล่านั้นไม่ประสบความสำเร็จ จนกระทั่งวันหนึ่ง เขาเอายางชิเคิลมาเคี้ยวเล่นตามแบบฉบับดั้งเดิมเขาเกิดความคิดใหม่ขึ้นมาทันที เขาสามารถผสมรสชาติลงในยางชิเคิลได้ ไม่นานหลังการทดลองครั้งยิ่งใหญ่ครั้งนี้ เขาก็เปิดโรงงานผลิตหมากฝรั่งแห่งแรกของโลก

ต่อมา ค.ศ.1869 นายวิลเลียม เอม เซมเพิล (William F. Semple) ทันตแพทย์จากรัฐโอไฮโอ ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้นำหมากฝรั่งอันนี้มาพัฒนาต่อ เพื่อสนับสนุนให้คนเคี้ยวหมากฝรั่ง เพื่อบริหารกรามรักษาสุขภาพฟัน โดยเขาใส่ส่วนผสมที่ช่วยในการขัดฟัน ประเภทยาง ชอล์ก ถ่าน และผงรากลิโคริช (licorice) แล้วจดทะเบียนสิทธิบัตรตั้งแต่นั้นมา

หมากฝรั่งดีต่อเหงือก ดีต่อฟัน แต่ไม่ดีกับสิ่งแวดล้อมฉะนั้นเมื่อเคี้ยวแล้ว จะทิ้งขอให้ทิ้งเป็นที่เป็นทาง เพื่อไม่ให้ไปติดเปื้อนผู้อื่น เพราะซักไม่ออก ดึงไม่หลุด เกิดความเสียหาย ^^

ขอขอบคุณข้อมูลจาก : wikipedia.org , kungsss.exteen.com 

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook