"แม่" ฮีโร่ต้นฉบับของ วิว วรรณรท สนธิไชย

"แม่" ฮีโร่ต้นฉบับของ วิว วรรณรท สนธิไชย

"แม่" ฮีโร่ต้นฉบับของ วิว วรรณรท สนธิไชย
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

My Mom is my Hero!!

เพราะคุณแม่เบญจวรรณ สนธิไชย เปรียบได้กับฮีโร่ต้นฉบับของนางเอกสาว "วิว" วรรณรท สนธิไชย ค่ะ ภาพยนตร์บันเทิงฉบับวันแม่ปีนี้ ก็เลยส่งเทียบเชิญทั้งคู่ มาถ่ายแฟชั่นร่วมกันและนั่งพูดคุย ถึงวิธีการดูแลคุณลูกสาวคนนี้ แอบเม้าท์สาววิวเล็กๆ โดยคุณแม่ แต่ที่อ่านแล้วต้องแอบยิ้ม คือเมื่อสาววิวเล่าถึงประสบการณ์ความผูกพันความรักของเธอและคุณแม่ที่มีให้กันและกันมาตลอดเวลา 21 ปี รีบไปอ่านกันเลยดีกว่าค่ะ

บทเริ่มต้น...ความผูกพันส่งถึงกันและกัน

คุณแม่เกด : ตั้งแต่เด็กๆ แล้วนะคะ วิวเป็นเด็กร่าเริง พอโตขึ้นมาเขาก็มีอะไรให้คิดมากขึ้น ทุกวันนี้เขาก็เป็นคนคิดเยอะนะ เพราะต้องมีความรับผิดชอบทั้งการเรียนและการทำงาน และยิ่งพอเขามารับบทหลายๆ อย่างในการแสดงผู้ใหญ่ก็มองด้วยว่าเขาต้องมีการพัฒนาไปด้วย วิวเป็นเด็กไม่ค่อยงอแงนะ แต่เวลาจะเอาอะไรเนี่ยจะเนียนๆ คืออย่างเวลาไปห้างฯ พออยากได้ของอะไรก็จะรีบขอกับคุณพ่อคุณแม่ใช่ไหมคะ แต่กับวิวไม่เลย เขาจะแบบเดินวนเวียนอยู่ตรงของที่เขาอยากได้ เราก็จะเริ่มรู้แล้วว่าเขาอยากได้ เขาไม่ขอ แต่จะมาบอกแบบอันนี้น่าสนใจนะคะคุณแม่ คือเขารู้ว่าถ้าเขาบอกว่าจะเอาเขาจะไม่ได้

คุณลูกวิว : คุณแม่เป็นเหมือนเพื่อนเหมือนพี่ค่ะ ไม่ยอมแก่ (หัวเราะ) ดูแลความสวยงามตลอด เราจะอยู่ใกล้ชิดกันมาก มีงอนกันบ้างเหมือนเพื่อน ไม่รู้เพราะว่าต่างคนต่างเป็นวัยรุ่นหรือเปล่า ใจร้อนค่ะ แต่คุณแม่จะไปไหนมาไหนกับวิวตลอด เป็นคนที่เข้าใจวิวมากที่สุด เพราะอยู่กับวิวมากที่สุด แล้วก็เป็นเหมือนกับฮีโร่ของเรา เป็นผู้หญิงที่เราเอาเป็นแบบอย่าง เป็นคนที่ตั้งใจทำอะไรจะทำได้ทุกอย่าง อย่างประดิษฐ์ของเนี่ยทำได้หมด

เทคนิคการสอนของคุณแม่...กับสิ่งที่คุณลูกจำได้เสมอ

คุณแม่เกด : คุณแม่จะสอนเขาด้วยเหตุผล คือถ้าเขาอยากได้อะไรต้องมีเหตุมีผลมาบอกเรา อย่างวิวจะชอบมากเรื่องไอที คือพวกไฮเทคโนโลยี โทรศัพท์รุ่นใหม่มาเขาจะอยากได้ละ แต่เราก็มองว่ามันไม่จำเป็น อย่างฟังก์ชั่นมันต่างกันไม่มาก แต่ถ้าเขาอยากจะเปลี่ยนต้องมาบอกเราว่าทำไมยังไง มันมีอะไรที่ดีกว่า อย่างบางรุ่นแค่เปลี่ยนแบบเปลี่ยนสี เขารู้แล้วว่ามันไม่ต่าง และคงไม่ได้แน่ๆ แต่เขาก็จะมีวิธีมาขอนะคะ อย่างถ้าเป็นช่วงใกล้วันเกิดคุณแม่ เขาก็จะทำการ์ดวันเกิดมาให้ แล้วก็จะมีรูปโทรศัพท์และหรือของที่เขาอยากได้อยู่ในการ์ดด้วย แล้วก็มีรูปหัวใจเลิฟๆ อยู่แถวๆ รูปที่เขาอยากได้ เราก็จะขำแล้ว และบางทีเขาก็เข้าทางคุณพ่อ คุณพ่อจะพูดง่ายกว่า แต่เขาก็จะรู้ล่ะว่า ถ้าขอคุณพ่อยังไงคุณแม่ก็รู้อยู่ดี เขาเลยต้องมาเกริ่นกับคุณแม่ก่อน ซึ่งถ้าคุณพ่อมาคุยแล้วเราไม่อนุญาตแล้วไปแอบซื้อให้กันคุณแม่ก็จะโกรธ (หัวเราะ) ตอนนี้ก็อยากได้ไอแพด แต่เพิ่งจะซื้อไอโฟนไปเอง คุณแม่ก็เลยยังไม่ได้ซื้อให้

คุณลูกวิว : คือคุณแม่จะบอกเราตลอดว่า ถ้าอยากได้อะไร ห้ามไปขอจากคนอื่นให้มาขอจากคุณพ่อกับคุณแม่ วิวก็จะไม่ติดนิสัยขออะไรใคร อยากได้ซื้อเอง ไม่ก็ขอจากคุณพ่อกับคุณแม่ แต่ก็แล้วแต่กรณีค่ะ อย่างล่าสุดไอแพดก็ยังไม่ได้เลย (หัวเราะ) คือหนูทำงานเองมีเงินเก็บเองก็จริง แต่ก็ไม่กล้าซื้อ กลัวเงินหมด เมื่อก่อนซื้อของฟุ่มเฟือย อย่างพวกดินสอ ปากกา ซื้อแล้วก็หายบ่อยมาก ตอนหลังคุณแม่ก็ให้เก็บเงินซื้อของที่เราอยากได้เอง เราก็เก็บ แต่ไม่อยากจ่าย คือเคยครั้งนึงเก็บตั้งนานพอซื้อเงินหมดเลย เลยไม่ค่อยอยากจ่ายเอง (หัวเราะ)

ครั้งแรกที่ถูกตี...ยังจำได้

คุณลูกวิว : วีรกรรมแสบวิวเยอะค่ะ อย่างเวลาทำผิดที่โรงเรียนแล้วครูจับได้หนูจะร้องไห้ตลอด ไม่ได้กลัวครูนะคะ แต่กลัวคุณแม่ว่า เพราะคุณแม่ดุ เมื่อก่อนคุณแม่ตีด้วย เดี๋ยวนี้ไม่ตีแล้ว คือคุณแม่จะโกรธเรื่องโกหก ถ้าโกหกแล้วรู้จะโดนเป็นสองเท่า เมื่อก่อนที่บ้านจะมีก้านไม้ลูกโป่งค่ะ หลายๆ สี ให้เลือกเลย บางทีก็มีฟุตเหล็ก แต่ครั้งนั้นที่คุณแม่ตีเป็นไม้บรรทัดพลาสติกคือเบาสุดแล้ว มีหนนึงที่ทำผิด คุณแม่ก็ถามว่าจะให้ตีกี่ที วิวก็บอกว่าคุณแม่ขอทีเดียวได้ไหม คุณแม่ก็ฟาดทีเดียว แต่ไม่เหลือไว้ตีทีอื่นเลย เพราะว่าไม้บรรทัดหักเลย (หัวเราะ)

คุณแม่เกด : จริงๆ ตั้งแต่เรียนประถมแล้วนะ คือปกติเนี่ยคุณแม่จะไปส่งแล้วก็ไปรับ กำชับว่าอย่าออกมานอกโรงเรียนนะให้รอเราในโรงเรียน ซึ่งปกติคุณแม่จะจอดรถริมถนน แล้วก็เดินไปรับซึ่งแถวนั้นจะมีร้านขนมเยอะมาก ซึ่งตอนแรกๆ เขาก็ทำตามดี พอเริ่มอยู่ป.6 เริ่มโต วันนึงคุณแม่ไม่ได้ไปรับ คุณตาไปรับ แล้วปรากฏว่าแม่ค้าแถวนั้นก็เล่าให้ฟังว่า เมื่อกี้น้องวิวออกมาซื้อขนมข้างนอก มานั่งกินไอศกรีมกับเพื่อน พอถึงบ้าน คุณแม่ก็ไม่ว่าอะไร เรียกเขามาคุย แล้วก็ถามว่าวันนี้วิวได้ทำอะไรผิดไหม เขาก็รีบตอบเลยว่าเปล่า คุณแม่ก็ย้ำอีกว่า ไม่มีอะไรเล่าให้คุณแม่ฟังเหรอ เขาก็บอกว่าเปล่าอีก คุณแม่ก็ให้เขาไปเลือกไม้มาอันนึง เขาก็เอาไม้บรรทัดมา เราก็บอกว่าวันนี้วิวทำความผิด จะให้คุณแม่ตีกี่ที เขาก็บอกว่าทีเดียวคุณแม่ก็ตีเลย แต่ครั้งเดียวไม้บรรทัดหัก แล้วก็บอกเขาว่า วิวออกมานอกโรงเรียนใช่ไหม แล้วที่คุณแม่ตีไม่ใช่เพราะเรื่องนี้ แต่เป็นเรื่องที่วิวโกหกคุณแม่ต่างหาก เขาก็ร้องไห้นะ ต่อมาก็แทบจะไม่เคยตีอีกเลย

ความดุของคุณแม่ ทำให้วิวมีวันนี้

คุณแม่เกด : คุณแม่ดุนะ แต่จะใช้วิธีพูดเขาไม่ค่อยทำผิดตั้งแต่เล็กๆ คือตั้งแต่คุยรู้เรื่องก็สอนเรื่องมีวินัยก่อน กลับบ้านปุ๊บ ล้างมือ สองเปลี่ยนชุดแล้วถ้าหิวทาน ไม่หิวก็ทำการบ้าน การบ้านเสร็จคุณจะทำอย่างอื่นได้ นอนกี่ทุ่ม คุณแม่จะเป๊ะ ไม่มีผ่อน เลี้ยงเขาเหมือนทหาร ต่อให้มีเพื่อนมาบ้านก็ต้องทำเหมือนเดิม คุณแม่เป็นคนพูดคำไหนคำนั้น โตขึ้นมาก็เหมือนกัน คือมีอะไรอยากให้คุยกันห้ามโกหก อยากไปไหนมาไหนกับเพื่อนคุณแม่ก็ไม่ว่านะ อย่างจะไปเซ็นทรัลปิ่นเกล้ากับเพื่อน คุณแม่ก็โอเค.แต่ต้องบอกเราไว้ก่อน แล้วเราจะได้ไปรับ มีครั้งนึงไปกับเพื่อน แล้วพอเราโทร.ถามว่าอยู่ไหน บอกว่าอยู่ในโรงเรียน แต่พอเราฟังเสียงในโทรศัพท์เรารู้แล้วว่าไม่ใช่แน่ ก็เลยบอกว่า งั้นให้เดินออกมาเลยเพราะคุณแม่รออยู่หน้าโรงเรียนแล้ว เขาก็สารภาพว่ามากับเพื่อน อยู่ตรงนั้นตรงนี้ คือเด็กอะค่ะ คุณแม่ก็เข้าใจนะ แต่โดยรวมน้องวิวเป็นเด็กที่ดีและมีความรับผิดชอบคนนึงเลย

คุณลูกวิว : คุณแม่ดุมากค่ะ คือหนูก็ดื้อค่ะ ดื้อแบบไม่เถียง แต่ไม่ยอม ฟังแต่ไม่ทำ ก็สมควรโดนท่านดุ แต่เพราะคุณแม่ดุหนูถึงมีวันนี้ ไม่งั้นคงไม่ได้อะไรเป็นชิ้นเป็นอัน เหลวไหลไปแล้วเพราะว่าหนูเป็นคนขี้เกียจ มีคุณแม่เนี่ยล่ะคอยกระตุ้น

ความคล้ายกันหรือมุมที่ต่างกันระหว่างคุณแม่และคุณลูก

คุณแม่เกด : วิวเป็นคนดื้อนะ แต่ดื้อแบบไม่โวยวาย แต่จะแบบฟังแล้วก็ถ้าไม่ชอบก็ไม่ทำ คือคุณแม่เลี้ยงลูกด้วยการคุยมากกว่า คือตั้งแต่เล็กถ้าอยากให้เขาทำอะไรสักอย่าง แต่เขาไม่อยากทำเนี่ยเขาจะทำท่าฟังนะ แต่ไม่ทำหรอก จริงๆ เขาก็ฟังนะ แล้วก็เอาไปคิด ถ้าเขาเริ่มเห็นด้วยก็จะค่อยๆ มาทีละหน่อย ประมาณว่าขอบคุณนะคุณแม่ที่อบรมวิว แต่จะแบบฟังแล้วทำเลยเนี่ยไม่มีทาง คือเหมือนด้วยวัยด้วยอารมณ์ตอนนั้น ก็จะมีประมาณว่าขอฉันเถียงสักหน่อย แต่คุณแม่กับวิวจะเหมือนกันนะ คือบางทีเราคิดกันคนละแบบ ก็จะต่างคนต่างปล่อย พอรุ่งขึ้นเราก็ต่างคนต่างเอาคำพูดมาคิดแล้วมาคุยกันใหม่ ก็จูนกันได้

คุณลูกวิว : คุณแม่จะมีเหวี่ยงเหมือนกันนะ อย่างเวลาซื้อของแล้วต้องรอแบบนานๆ นานมากๆ คุณแม่ก็จะเริ่มคุยกับพนักงานแล้ว ว่าอีกนานไหม ถ้าเป็นวิวก็คงจะเงียบ แต่จริงๆ ในโลกเราทุกวันนี้ สังคมมันก็มีหลายอย่างที่เอาเปรียบเรา เราก็ต้องเข้มแข็งเอาไว้บ้าง แต่คุณแม่ก็ลดมาเยอะแล้วนะคะ คุณแม่เล่าให้ฟังว่าเมื่อก่อนเนี่ย เวลาคุณแม่เรียนแล้วถูกผู้ชายแกล้ง คุณแม่ก็ไม่ยอมมีเรื่องชกต่อย ตีกันเลยนะ คือเพื่อนผู้ชายเขาจะมาแกล้งแบบดึงผมแล้วก็เปิดกระโปรง คุณแม่บอกว่าตอนนั้นก็รอ รอดูว่าจะมาแกล้งคุณแม่ไหม แล้วมันก็ถึงวันของคุณแม่ พอเขาแกล้งคุณแม่ก็หันไปถีบเขาที่อกเป็นรอยรองเท้าเลย โดนครูเรียกเพราะผู้ชายร้องไห้ไปฟ้องครู ครูก็ถามว่าจะเอายังไง ถ้าตีต้องตี 2 คน ผู้ชายคนนั้นก็บอกว่างั้นไม่เอา คือเขาโดนถีบเจ็บตัวไปแล้ว จะมาโดนตีอีกก็เจ็บตัวสองรอบ เนี่ยพอวิวได้ฟัง ยังเคยบอกว่าจะเอาอย่างคุณแม่บ้างใครมีเรื่องก็ตบไปเลย แต่คุณแม่ก็บอกว่ายุคสมัยเปลี่ยนไป ไม่ให้ทำ แต่ถ้ามีอะไรก็มา บอกกับคุณแม่ คือคุณแม่เนี่ยถ้าใครมาเอาเปรียบคุณแม่จะไม่ยอม

เมื่อคุณลูกสาวกลายเป็นที่หมายตาของหนุ่มๆ

คุณแม่เกด : เรื่องความรัก คุณแม่จะคุยมาก่อนเขาเข้าวงการ เพราะเขาเรียนโรงเรียนสตรีเราไม่ห่วง เพราะเรารับส่งเขามาตลอดจะไปเจอใครคบใครเนี่ยไม่มี แต่พอจะเข้ามหาวิทยาลัยอิสระแล้ว เริ่มมีหนุ่มๆ มาจีบ หรือบางทีไปปลื้มรุ่นพี่ คุณแม่จะคุยกับเขาตั้งแต่ตอนนั้นเลยว่า สังคมเราจะเปลี่ยนนะ เราอาจจะไปเจอคนที่ชอบ หรือมีคนมาชอบเรา แต่คุณแม่ก็บอกว่าอย่าคิดว่าจะเป็นคนนี้ไปตลอดนะ เพราะชีวิตอีกยาวไกล เราดูเขาปกติ คือสังคมสมัยคุณแม่ไม่เห็นว่าวัยขนาดนี้จะมีความรักได้ยาวนาน เราก็คุยกันเหมือนเพื่อนให้คิดดูว่าเนี่ยถ้าวันนึงข้างหน้า มีคนบอกว่า วิวเหรอ อ๋อ ปีหนึ่งเป็นแฟนกับคนนี้ พอปีสองเป็นแฟนกับคนนั้น มันจะดีไหมอะ ให้เขาลองนึกภาพ เพราะฉะนั้นใครที่เข้ามาให้เขาเป็นเพื่อน อาจจะมีเพื่อนที่สนิท ต่อให้เขาเข้าวงการ ก็ยังเป็นคำสั่งสอนเดิมๆ และคุณแม่ก็ไปไหนมาไหนตลอดเวลา เวลาเขารู้จักใครเราก็รู้จักด้วย ทำให้เราพอจะรู้นิสัยส่วนตัวของแต่ละคน ก็มีคอมเมนต์กันไป แต่ไม่ได้บอกนะว่าใครเลวใครดี

คุณลูกวิว : เรื่องความรักตั้งแต่เด็กๆ แล้วค่ะ แบบมีความรัก ปั๊ปปี้เลิฟ อย่างเขียนกลอน เขียนการ์ด คุณแม่ก็จะเห็นของพวกนี้ ก็จะมาถามว่าให้ใครอะ อย่างตอน 15 ปี เป็นวัยที่แบบ ชอบพูดว่า เรื่องของวิว คุณแม่ก็จะสอนว่าตอนนี้ทำอะไรไปก็ไม่เป็นไรหรอก แต่พอเราโตขึ้นก็จะมานั่งคิดเรื่องในอดีตว่า โห...เราไม่น่าทำอย่างนั้นอย่างนี้เลย เพราะฉะนั้นจะทำยังไงต้องคิดให้ดีก่อน คือไม่ใช่แค่เรื่องความรักนะคะ ทุกเรื่อง เรื่องที่อายที่สุดก็ต้องมาบอกกับคุณพ่อกับคุณแม่เราก่อน อย่าเก่งกับคนอื่น คือเอาเรื่องของเราไปบอกกับคนอื่น แต่ไม่กล้าที่จะบอกกับคุณพ่อกับคุณแม่ ปิดเอาไว้มันก็มีแต่จะทำร้ายเรา

ความห่วงใยที่อยากส่งถึงกันและกัน

คุณแม่เกด : วิวตอนนี้อายุ 21 ปีแล้ว เราอยู่กับเขาตลอดเวลา มีบ้างที่เราไม่เห็นด้วยแต่คุณแม่เลี้ยงลูกด้วยวิธีคุย ก็เลยไม่มีปัญหาต้องห่วง อย่างตอนนี้ ไม่ต้องห่วงเลยเพราะว่าเขาเป็นเด็กที่มีความรับผิดชอบ แต่ตอนที่ปวดหัวสุดเนี่ย ตอนมัธยมวีรกรรมขอผิดระเบียบบ้าง อย่างตัดผมซอยผมเนี่ย มีวันนึงไปส่งเขาปุ๊บกลับถึงบ้านที่โรงเรียนโทร.มาเลยว่าเชิญมาที่ห้องฝ่ายปกครองหน่อยได้ไหมคะ คือน้องวิวเขาถูกตรวจแล้วทรงผมเขาไม่ผ่าน คือเขาจะทำทัณฑ์บนเลยนะ ซึ่งเราไม่ได้พาเขาไปตัดแต่เขาไปซอยผมกันเองเลยในห้องน้ำ อาจารย์ก็บอกว่า...คุณรู้ไหมลูกสาวของคุณ เนี่ยทำห้องน้ำโรงเรียนตันเลย เพราะไปซอย ผมกันในห้องน้ำ คุณแม่ก็ถามอาจารย์ว่าให้เราทำยังไง เพราะทำในโรงเรียนไม่ได้ทำที่บ้าน ก็ไม่รู้จะจัดการยังไง คือเข้าใจเขานะไม่ได้โกรธ คือเด็กมัธยมผู้หญิงเนี่ยรักสวยรักงามแล้ว แต่เราก็เคารพกฎของโรงเรียน คือเด็กเริ่มสาวอยากสวย ไม่ได้โกรธ อาจารย์พูดมาเราก็ฟังอย่างเดียว เข้าใจทั้งทางโรงเรียนและลูกเรา จะมีแต่เรื่องนี้นะคะ เรื่องขาดเรียน เรื่องโดดเรียนไม่มี

ตอนนี้ไม่ค่อยห่วงเพราะว่าเราอยู่กับเขา จะห่วงเรื่องของการแบ่งเวลากับการเรียน ถ้าเขาเรียนจบคงจะดีขึ้น อีกอย่างการอยู่ในวงการมันจะมีหลายรูปแบบมาก วิวถูกเลี้ยงมาแบบที่เขาไม่ต้องไปผจญกับอะไร เพราะฉะนั้นถ้าเขาโตขึ้น จะห่วงตรงที่เขาต้องเรียนรู้เรื่องการมองคน หรือเข้าสังคมกับคนแต่ละแบบเยอะๆ เพราะวิวมองคนในแง่ดีหมดเลย ซึ่งอยากให้เขาเรียนรู้ไป ตัววิวเป็นเด็กค่อนข้างเชื่อฟัง ไม่ใช่ว่าบอกทุกคำเชื่อทุกคำนะคะ แต่เขาจะมีความเป็นตัวของตัวเอง คืออย่างน้อยเขาจะเข้าใจในความเป็นห่วงของคุณพ่อคุณแม่ จะไม่มีรำคาญรู้ว่าเนี่ยล่ะเราเป็นห่วง คือคุณแม่มองว่าการที่จะมีลูกสักคนไม่ว่าลูกจะอยู่ตรงไหน การที่เราได้คุยกัน ได้แชร์ความคิดกัน นั่นคือสิ่งที่ดีที่สุดค่ะ

คุณลูกวิว : เมื่อก่อนคิดตลอดเลยทำไมไม่เข้าใจ ทำไมสตริกไม่ปล่อยลูกบ้าง ยังเคยบอกเลยว่า คุณแม่คนอื่นเขายังใจดีเลย คุณแม่ก็จะบอกว่าทุกคนก็หวงลูกกันทั้งนั้นล่ะ คุณแม่ก็จะสอนว่าสิ่งที่คนอื่นทำกับเรา จะมาเปรียบเทียบกับที่คุณแม่ทำกับเราไม่ได้ เพราะเขาไม่ใช่คุณแม่เรา เราก็ไม่ใช่ลูกเขา เขาจะมาเป็นห่วงอะไรมากมายขนาดนั้น ซึ่งถ้าเป็นลูกเขาเขาก็คงจะดุเหมือนกัน

ทุกวันนี้วิวมีคุณแม่อยู่ด้วยตลอดเวลา ถามว่าอยากมีโลกส่วนตัวไหม ก็คิดเหมือนกันทำไมคุณแม่ต้องไปไหนมาไหนกับเราตลอด แต่มองอีกมุมคือโลกวันนี้มันอันตราย การที่มีคุณแม่อยู่ข้างๆ เราอุ่นใจ อีกอย่างคุณแม่เป็นกระเป๋าสตางค์ค่ะ คือถ้าไม่มีคุณแม่เนี่ยหนูไม่มีอะไรเลย ไร้ค่ามาก (หัวเราะ) นั่นคือมุมที่ได้เห็นคุณแม่เสมอ คือคุณแม่ยังวัยรุ่น แต่พอได้เห็นอีกมุมที่คุณแม่เหนื่อย บางทีปวดเนื้อเมื่อยตัวจากการที่คุณแม่ต้องมาตามวิวตลอด ก็สงสารคุณแม่ แล้วคุณแม่จะเป็นโรคบ้านหมุนคือถ้านอนน้อยจะเป็นขึ้นมาทันที หนูจะมีเอาใจบ้าง บีบนวด อยากกินอะไร ไม่ได้ทำเองนะคะ แต่จะซื้อจัดใส่จานให้คุณแม่

อีกเรื่องคือตลอดเวลาที่ผ่านมา คุณแม่จะสอนเสมอค่ะว่า เราทำอะไรเนี่ยมันจะได้กับตัวเองนะ เมื่อก่อนวิวชอบบอกว่า เรียนให้เก่งเพื่อคุณแม่ คุณแม่ก็บอกว่าคุณแม่ก็ได้แต่ดีใจด้วย แต่สิ่งที่เราได้คือความสำเร็จของตัวเราเอง คุณแม่จะบอกว่าเราเรียนดีแล้ว เราขอของขวัญ เราก็มีแต่ได้กับได้นะ ถ้าวิวทำสำเร็จเพราะคุณแม่จะย้ำว่าคุณแม่ไม่ได้ได้อะไรด้วยเลย มีแต่ความยินดี ซึ่งวิวก็มองว่าสิ่งที่ทำได้คือความภาคภูมิใจในตัวเรา อยากตั้งใจทำงานให้ดี วิวอาจจะไม่ใช่นักแสดงที่เก่งมาก แต่วิวก็มองว่าวันนี้วิวสามารถหารายได้มาเลี้ยงดูคุณพ่อคุณแม่ได้ อยากให้ท่านสุขสบายไม่ต้องทุกข์ร้อนอะไร อย่างซื้อรองเท้าให้ท่านเนี่ย แค่นี้วิวก็ภูมิใจแล้วนะ คือมันเป็นเงินที่วิวหามาได้ ตอบแทนจากที่เขาซื้อให้เราสมัยเรายังเด็ก ตอนนี้วิวเริ่มรับผิดชอบรายจ่ายของที่บ้าน อีกอย่างคืออยากเรียนให้จบ คุณพ่อคุณแม่ก็เป็นห่วง รู้ว่าเราก็กังวล ถ้าเราเรียนจบเราก็จะทำงานที่เรารักได้เต็มที่ค่ะ

อัลบั้มภาพ 4 ภาพ

อัลบั้มภาพ 4 ภาพ ของ "แม่" ฮีโร่ต้นฉบับของ วิว วรรณรท สนธิไชย

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook