"รักภาษาไทย ใส่ใจภาษาอังกฤษ" ณเดชน์ คูกิมิยะ

"รักภาษาไทย ใส่ใจภาษาอังกฤษ" ณเดชน์ คูกิมิยะ

"รักภาษาไทย ใส่ใจภาษาอังกฤษ" ณเดชน์ คูกิมิยะ
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

แรกเห็นเด็กหนุ่มคิ้วเข้มแววตาซ่อนเสน่ห์ในภาพยนตร์โฆษณาหมากฝรั่งยี่ห้อหนึ่งที่เขาเป็นพรีเซนเตอร์คู่กับซุป'ตาร์ "อั้ม-พัชราภา ไชยเชื้อ" ก็ทำให้ใครต่อใครตกหลุมรักเขาคนนี้เข้าอย่างจัง ...ณเดชน์ คูกิมิยะ

หลังจากนั้นไม่นาน การนับภาพยนตร์โฆษณาที่เขาไม่ได้เป็นพรีเซนเตอร์ก็ดูเหมือนจะเป็นการง่ายกว่า เพราะไม่ว่าสินค้าตัวไหนๆ ก็อยากให้ณเดชน์มาช่วยพรีเซนต์ จนต้องให้ฉายาเขาว่า "พรีเซนเตอร์ร้อยล้าน"

ถัดจากภาพยนตร์โฆษณา ณเดชน์ก็ปรากฏตัวในละครทางช่อง 3 ประเดิมเรื่องแรก "เงารักลวงใจ" ก่อนจะโด่งดังสุดๆ ในละครเรื่องถัดมา "4 หัวใจแห่งขุนเขา" ซีรี่ส์โปรเจคใหญ่ฉลองครบรอบ 40 ปีของช่อง 3 และล่าสุดกับบทบาท 2 คาแรคเตอร์ หนึ่งเป็นหนุ่มใสซื่อชื่อ "สายชล" สองเป็นนักธุรกิจไฟแรงนามว่า "ชาร์ลส์" ในละครเรื่อง "เกมร้ายเกมรัก" ประกบนางเอกคู่ขวัญ "ญาญ่า-อุรัสยา เสปอร์บันด์" ก็ยิ่งทำให้ ณเดชน์ฮอตยิ่งกว่าฮอต ส่วนละครอีกเรื่อง "ธรณีนี่นี้ใครครอง" จะมาครองหัวใจคุณในอีกไม่นาน

ณเดชน์เป็นลูกครึ่งไทย-ออสเตรีย ทว่ามีคุณพ่อบุญธรรมเป็นชาวญี่ปุ่นเขาจึงได้นามสกุล "คูกิมิยะ" มาพ่วงท้าย

ณเดชน์จบการศึกษาระดับมัธยมศึกษาปีที่ 6 จากโรงเรียนขอนแก่นวิเทศศึกษา จังหวัดขอนแก่น ปัจจุบันเป็นนักศึกษาปี 2 มหาวิทยาลัยรังสิต คณะนิเทศศาสตร์ สาขาวิชาการภาพยนตร์และวีดิทัศน์ เขาบอกว่า ค้นพบตัวเองว่าชอบการทำงานด้านภาพยนตร์-โทรทัศน์มาตั้งแต่อยู่มัธยมปลาย
"ผมเลือกเรียนสาขาวิชาการภาพยนตร์และวีดิทัศน์ เป็นเพราะว่า ผมชอบเรื่องของงานภาพยนตร์ งานโทรทัศน์มาตั้งแต่อยู่มัธยมปลายแล้วน่ะครับ ผมได้ลองถ่ายวิดีโอได้ลองทำงานที่เกี่ยวกับภาพยนตร์โทรทัศน์มาบ้างแล้วก็รู้สึกว่าชอบงานด้านนี้จึงเลือกเรียน"

พอได้เรียนในสิ่งที่ชอบแล้ว คิดว่าอนาคตจะก้าวไปสู่การทำงานเบื้องหลังไหม
"ต้องบอกอย่างนี้ครับว่า พอผมได้เข้ามาสู่วงการบันเทิง ได้ทำงานที่เกี่ยวข้องกับที่ตัวเองเรียนโดยตรง ผมก็คิดว่า เออนะการเลือกเรียนด้านนี้นับว่าเป็นข้อดีอย่างหนึ่งที่เราสามารถนำความรู้ที่ได้เรียนมาประยุกต์ใช้กับการทำงานของเราในปัจจุบันได้เลย ซึ่งแน่นอนว่า มันไม่ได้ถูกจำกัดไว้แค่งานเบื้องหลังอย่างเดียวเท่านั้น งานเบื้องหน้าก็สามารถนำความรู้ที่เรียนมาใช้ได้เช่นกัน ผมคิดว่าในสาขาที่ผมเรียน สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ครอบคลุมทั้งหมด ทั้งงานเบื้องหน้า เบื้องหลัง คิดบท ทุกๆ การทำงานในแวดวงบันเทิงนี้น่ะครับ"

นับว่าการเรียนสนับสนุนการทำงานของคุณ
"ครับ คือ งานนิเทศศาสตร์หรือวิชานิเทศศาสตร์ ผมว่าเป็นสาขาวิชาการที่เกี่ยวกับการสื่อสาร ดังนั้นพอผมได้เรียนมาตั้งแต่ปีหนึ่งจนถึงปัจจุบันนี้ แม้ผมเองจะเรียนในสาขาภาพยนตร์และวีดิทัศน์ก็จริง แต่วิชาอื่นๆ ที่เราได้เรียนในคณะนี้สาขานี้ อย่างเช่น วิชาการพูด วิชาการแสดง เป็นต้นนะครับ ผมว่า ผมสามารถหยิบทุกวิชามาประยุกต์ใช้กับชีวิตประวันและการทำงานของผมได้ หรือแม้แต่การพบปะผู้คน การทำงานร่วมกับคนอื่น ความรับผิดชอบ ทุกอย่างเราสามารถสร้างและประยุกต์ใช้ได้ทั้งหมด ทั้งกับงานละคร งานอีเว้นท์ ทุกสายงานเลยก็ว่าได้ครับ"

คุณมีความสามารถในการสื่อสารทั้งภาษาไทย ภาษาอังกฤษ รวมถึงภาษาท้องถิ่นอีสาน อยากรู้ว่าคุณหลงรักภาษาใดมากที่สุด เพราะเหตุใด
"(หัวเราะ) ครับ...เหมือนผมพูดได้สามภาษาเลย แต่ความจริงภาษาท้องถิ่นอีสานก็เป็นภาษาไทยแหละครับ ภาษาอังกฤษก็สามารถสื่อสารได้ ส่วนถ้าถามว่าผมรักภาษาใดมากที่สุด ตอบได้ทันทีเลยครับว่า ผมรักภาษาไทยและภาษาอีสานครับ แต่แน่นอนว่าในปัจจุบันนี้ภาษาอังกฤษมีบทบาทสำคัญกับชีวิตค่อนข้างมาก เพราะเป็นภาษาสากลที่ใช้ทั่วโลก ซึ่งทำให้เราปฏิเสธที่จะเรียนรู้ไม่ได้เลย ฉะนั้นนอกเหนือจากภาษาแม่ของเรา ภาษาที่บ่งบอกถึงความมีวัฒนธรรมของชาติเราแล้ว ภาษาอังกฤษจึงมีความสำคัญและจำเป็นต้องเรียนรู้เพิ่มอีกภาษาด้วยครับ เรียกว่า ภาษาอังกฤษนั้นเป็นภาษาที่มีความสำคัญอันดับแรกของคนทั่วทั้งโลกก็ว่าได้ ดังนั้นในขณะที่ผมรักภาษาไทยและภาษาอีสาน ผมก็ชอบเรียนรู้เกี่ยวกับภาษาอังกฤษด้วย หมั่นหาความรู้เกี่ยวกับภาษาอังกฤษตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นการดูหนัง ฟังเพลงสากล ซึ่งนับเป็นช่องทางหนึ่งที่ผมคิดว่าใช้ในการเรียนรู้และฝึกฝนภาษาอังกฤษได้เป็นอย่างดี รวมทั้งตัวผมเองมีเพื่อนที่เป็นฝรั่ง เขาเป็นชาวนิวซีแลนด์ เรียนมาด้วยกันครับ ผมก็พูดคุยสื่อสารกับเขาด้วยภาษาอังกฤษ ซึ่งผมเองพยายามที่จะพูดภาษาอังกฤษอยู่บ่อยๆ ไม่อย่างนั้นเราจะลืมถ้าไม่ได้ใช้เป็นประจำ ผมเห็นหลายคนแล้วนะที่เคยพูดสื่อสารภาษาอังกฤษได้ แต่พอไม่ได้ใช้นานๆ เข้าก็ลืม รวมไปถึงแกรมมาร์ด้วยนะครับ ต้องหมั่นฝึกหมั่นเรียนรู้กันเสมอๆ ครับไม่อย่างนั้นจะลืม ซึ่งผมว่ามันน่าเสียดายนะครับ"

ทำไมถึงรักภาษาไทยและภาษาท้องถิ่นอีสานมากเป็นพิเศษ
"ผมคิดว่าภาษาไทยตอนนี้ค่อนข้างถูกลืมนะ อย่างวัยรุ่นหรือเยาวชน หรือแม้แต่ผู้ใหญ่เองก็เถอะครับ ค่อนข้างจะไม่ใส่ใจกับภาษาไทยมากนัก แล้วส่วนใหญ่ก็ใช้ภาษาไทยกันไม่ค่อยถูก ใช้ภาษาไทยด้วยความเคยชินเสียมากกว่าที่จะคำนึงถึงความถูกต้อง อย่างการใช้สระใช้วรรณยุกต์ บางคนผันวรรณยุกต์ไม่ถูกแล้วด้วยซ้ำ ฉะนั้นผมคิดว่า ในเมื่อภาษาไทยซึ่งเป็นภาษาที่พ่อขุนรามคำแหงท่านประดิษฐ์คิดค้นขึ้นมา เราก็ควรดำรงไว้และใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ผมว่าคนไทยยังรู้ภาษาไทยน้อยกว่าภาษาอังกฤษด้วยซ้ำนะเดี๋ยวนี้ ผมไม่ได้กำลังบอกว่า เราไม่ควรรู้ภาษาอังกฤษนะครับ แต่ผมพยายามจะบอกว่า เราควรเรียนรู้ภาษาอังกฤษ โดยให้เป็นภาษาที่สองที่เราควรเชี่ยวชาญรองลงมาจากภาษาประจำชาติของเรา ภาษาไทยเป็นหนึ่งในวัฒนธรรมของเรานะครับ เราควรให้ความสำคัญมากๆ ใช้ให้ถูกต้องทั้งตัว ล ร ตัวควบกล้ำ วรรณยุกต์ต่างๆ ใช้ให้ถูก ยิ่งการให้การศึกษากับเด็กในปัจจุบัน ผมคิดว่าควรทำให้เขาหันมาสนใจภาษาไทยให้มากๆ ขณะเดียวกันก็ควรส่งเสริมให้เขาได้เรียนรู้ภาษาอังกฤษซึ่งเป็นภาษาสากลของโลกด้วย มุ่งให้เกิดการเรียนรู้ทั้งสองภาษาไปพร้อมๆ กัน ภาษาไทยเราก็ใช้กับคนไทย ภาษาอังกฤษเราก็ใช้กับคนต่างชาติ เวลาเราไปต่างประเทศไม่ว่าจะไปเรียนหรือไปทำงาน เราสามารถเลือกใช้ภาษาให้เหมาะกับกาลเทศะและความเหมาะสมน่ะครับ"

มาคุยเรื่องงานบ้าง คิดว่าอะไรที่ทำให้ใครๆ ต่างจดจำ "ณเดชน์" ได้ตั้งแต่แรกพบผ่านสื่อบันเทิง

"ผมว่าน่าจะเพราะความเป็นตัวตนของผมนะครับ ความเป็นเด็กขอนแก่นคนหนึ่งที่เข้ามาทำงานแล้วก็ไม่ได้ใฝ่สูงหรือไม่ได้อยากโด่งดังอะไร ผมก็เป็นคนธรรมดาคนหนึ่งที่มีอาชีพเป็นนักแสดงเท่านั้น ผมคิดว่านี่อาจเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้หลายคนจำผมได้ เพราะเขาเข้าใจในจุดนี้ เข้าใจว่า ผมไม่ได้ทำตัวแบบว่า โอ้...อยากได้นู่น อยากได้นี่ อยากจะเป็นอย่างนั้น อยากจะเป็นอย่างนี้ ผมก็เป็นแค่เด็กหนุ่มคนหนึ่งที่มีผู้มอบโอกาสให้น่ะครับ"

มุมมองของคุณที่มีต่อวงการบันเทิง ระหว่างก่อนเข้าวงการ กับวันนี้ วันที่คุณเป็นคนในวงการไปแล้ว ทัศนคติเปลี่ยนไปหรือไม่
"อืม...ผมว่าเปลี่ยนไปเยอะมากเลยครับ โดยเฉพาะชีวิตประจำวัน ผมไม่เคยคิดเลยว่า ชีวิตจะต้องขึ้นอยู่กับเวลาที่จำกัดมากขนาดนี้ ทุกวันนี้ผมต้องมีความรับผิดชอบที่แน่นจริงๆ ทุกอย่างต้องเป๊ะ ทุกอย่างขึ้นกับเวลาและวันที่หมดเลยครับ แม้แต่การแบ่งเวลาเรียนกับการทำงานก็ดูเหมือนจะกลายเป็นเรื่องยากมากขึ้น บอกตามตรงเลยว่า ผมเองแทบไม่มีเวลาไปเรียนด้วยซ้ำ แต่ก็โชคดีที่อาจารย์จะคอยช่วยเหลือผม ท่านจะบอกว่า ถ้าผมไม่ได้เข้ามาในคลาส ก็ให้เอางานกลับไปทำที่บ้าน หรือบางทีอาจารย์ก็จะส่งอีเมลมาให้ ส่งงานมาให้ทำผ่านอีเมล ซึ่งผมก็ต้องรับผิดชอบในงาน ในการเรียน และรับผิดชอบต่อเวลาครับ"

ก่อนจะปิดฉากการสนทนา ณเดชน์ฝากให้กำลังใจกับผู้ประสบภัยน้ำท่วมทุกคน เขาขอให้ทุกคนอดทนและสู้ๆ ก่อนจะกล่าวกับเราว่า "ขอบคุณครับ ขอบคุณมากครับ ขอบคุณนะครับ" นั่นทำให้เราไม่แปลกใจเลยว่า ทำไมเด็กหนุ่มคนนี้ถึงได้มาแรงและประสบความสำเร็จเร็ว เพราะใช่ว่าเขาจะมีแค่ความรับผิดชอบต่อตนเอง ต่อเวลา และต่อโอกาสที่ได้รับ แต่เขายังเปี่ยมด้วยความอ่อนน้อม สุภาพ และมีน้ำใจอีกด้วย

คอลัมน์ Interview
เรียบเรียงโดย กญญาณ์ มาเปี่ยม (I Get English Magazine)

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook