เลือดกำเดามาจากไหน

เลือดกำเดามาจากไหน

เลือดกำเดามาจากไหน
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

 

หลายคนอาจจะประสบปัญหาเลือดกำเดาไหลแต่ก็ไม่ทราบสาเหตุว่ามาเกิดขึ้นได้อย่างไร ซึ่งการไหลของเลือดกำเดาไหลนี้ ยังไม่มีสาเหตุแน่ชัด แต่มีข้อสันนิษฐานว่าน่าจะเกิดจากหลอดเลือดฝอยในโพรงจมูกแตก หรือผู้ที่มีปัญหาหลอดเลือดแข็ง จึงมีโอกาสเลือดกำเดาไหลได้ง่าย เช่นเดียวกับผู้ที่กินยาประเภท แอสไพริน ไอบูโพรเฟน หรือยาละลายลิ่มเลือดอย่างวาร์ฟาริน

สาเหตุที่เลือดกำเดาไหล

- เส้นเลือดฝอยเล็กๆ อาจเกิดการฉีกขาดทำให้เกิดอาการเลือดกำเดาไหลได้
- เกิดการกระทบกระเทือน เช่น วิ่งชน หกล้ม การช้ำหรือการแคะแกะจมูกในเด็กเล็กๆ
- ร่างกายขาดวิตามินซี ก็อาจทำให้เลือดกำเดาออกง่ายได้
- อาการป่วยจากระบบทางเดินหายใจ เช่น โรคหวัด ทางเดินหายใจอักเสบ ไซนัสอักเสบ ที่ต้องรักษาตามอาการ
- ถ้าเลือดกำเดาไหล พร้อมกับมีอาการเลือดออกใต้ผิวหนังเป็นจ้ำๆ ตามตัว ควรพาไปพบแพทย์ เพราะอาจเป็นโรคเลือด เช่น ลูคีเมีย

วิธีแก้ไขและป้องกัน

- โดยทั่วไปเลือดกำเดาจะหยุดไหลได้เองภายในไม่เกิน 5 นาที หรือไม่กดบีบจมูก และหายใจทางปาก วิธีคือ นั้งหลังตรง โน้มศีรษะมาข้างหน้าเล็กน้อย เพื่อป้องกันไม่เลือดไหลลงคอ ขั้นแรกให้สั่งน้ำมูกเบาๆ เพื่อไล่ลิ่มเลือดที่อาจไปขัดขวางการสมานรอยแตกของหลอดเลือด จากนั้นใช้นิ้วบีบเบาๆ ตรงส่วที่อ่อนกว่าของจมูกแล้วกดเข้าหาใบหน้า อยู่ท่านี้อย่างน้อย 10 นาที ถ้าเลือดยังหยุดไหล ให้กดต่อไปอีก 10 นาที วิธีนี้มักได้ผลเร็วและเป็นวิธีที่ง่ายที่สุด

- ถ้าเลือดกำเดาไหลกับเด็กเล็ก เราก็สามารถบรรเทาอาการได้โดย ใช้กระดาษชำระม้วนเป็นแท่งเล็กๆ อุดในรูจมูก ให้นั่งตัวตรงศีรษะอยู่สูงกว่าระดับหัวใจ และหายใจทางปาก หาผ้าห่อน้ำแข็งประคบบริเวณจมูก เพื่อทำให้เลือดแข็งตัว หยุดไหลเร็วขึ้น และส่วนหนึ่งช่วยลดอุณหภูมิร้อนในร่างกาย

- หลีกเลี่ยงการพาเด็กเล็กไปวิ่งเล่นกลางแจ้งนานๆ เมื่ออากาศร้อนจัด เพราะอากาศร้อนจะทำให้เลือดกำเดาไหล

- ห้ามแคะจมูกหรือหลีกเลี่ยงการกระทบกระเทือน

เพียงเท่านี้เราก็สามารถหลีกเลี่ยงปัจจัยในการเลือดกำเดาไหล และควรออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอและทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ และเสริมอาหารวิตามินซีสูงให้กับร่างกายอีกด้วย


ที่มา : สำนักบริการวิชาการ มหาวิทยาลัยบูรพา

ภาพประกอบ : www.photos.com

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook